กระทรวงศึกษาธิการ จัดงานวันฉลองเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 อย่างยิ่งใหญ่ ในวันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2567 ณ บริเวณกระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ร่วมด้วย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารองค์กรหลักกระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ และน้อง ๆ เยาวชนจากหลากหลายโรงเรียน ภายใต้แนวคิด “เรียนดี มีความสุข” จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน มอบความสุข..ปลุกความคิด..สร้างสรรค์ กระตุ้นให้เด็กและเยาวชนได้ตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนเอง ตลอดจนปลูกฝังให้มีส่วนร่วมในสังคม มีความสามัคคี เป็นกำลังสำคัญของชาติ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันเด็กทุกปีทำให้ผมนึกย้อนเวลาไปสู่วัยเด็กทุกครั้ง ซึ่งวันนี้รู้สึกยินดีที่ได้มาเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 ที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้มาพบปะกับน้อง ๆ เด็ก ๆ และเยาวชนรุ่นใหม่ อันจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า ซึ่งผมได้มอบคำขวัญวันเด็กปีนี้ไว้ว่า “มองโลกกว้างคิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย”โดยมุ่งหวังให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคนเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เคารพและยอมรับความแตกต่างในโลกไร้พรมแดน อันเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ทุกคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีหัวใจที่เข้มแข็ง มีความเพียบพร้อมทั้งความรู้ ความสามารถ มีทัศนคติที่ดี มีความคิดที่ถูกต้อง มีความเป็นสากล ตลอดจนเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า การจะส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเป็นคนดี มีความรู้ความสามารถ คิดเป็น ทำเป็นในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติได้นั้น เกิดจากสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษาที่มีส่วนสำคัญในการเสริมประสบการณ์ และเพิ่มพูนทักษะที่จำเป็น ทั้งด้านการศึกษา การให้โอกาสแสดงออก การดำรงชีวิตการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม รวมทั้งการส่งเสริมสนับสนุนของภาครัฐและภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีจิตสำนึกที่ดี รู้จักคัดกรอง รู้จักวิเคราะห์ แยกแยะสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้อง เพื่อให้เท่าทันโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน “ผมขอเป็นกำลังใจให้กับน้อง ๆ และเยาวชนทุกคน ขอให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน พัฒนาตนเองอยู่เสมอ ประพฤติปฏิบัติตนเป็นลูกที่ดี ศิษย์ที่ดี และพลเมืองที่ดีของสังคม ตั้งมั่นอยู่ในความดี มีคุณธรรม จริยธรรม และทำในสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ให้บรรลุผลสำเร็จ ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดกิจกรรมฉลองวันเด็กแห่งชาติครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ของประเทศที่มีคุณค่าต่อไป สุขสันต์วันเด็กครับ”นายกรัฐมนตรี กล่าว พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ.กล่าวว่า การจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 ส่วนกลางจัดงานที่กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้แนวคิด “เรียนดี มีความสุข” “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” มีส่วนราชการ หน่วยงานต่าง ๆ มาร่วมมือร่วมใจกันส่งมอบความสุขให้แก่เด็ก ๆ โดยเน้นกิจกรรมที่เกิดกระบวนการเรียนรู้ในทุกรูปแบบ กิจกรรม Active Learning และการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา Anywhere Anytime ส่งเสริมให้เด็กเกิดแรงบันดาลใจในการเรียน สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่หลากหลาย รวมถึงส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง มีทักษะชีวิตที่ดี เป็นเด็กไทยยุคใหม่ที่รู้หน้าที่พลเมืองไทย ในส่วนภูมิภาค กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ทั้ง 77 จังหวัด ประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ จัดกิจกรรมฉลองวันเด็กแห่งชาติในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเน้นกิจกรรมที่เติมเต็มความสุขให้กับทุกคน และลดภาระผู้ปกครองด้วย หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ได้ร่วมพบปะพูดคุยกับเด็ก ๆ ถ่ายภาพร่วมกัน แจกของขวัญ และเยี่ยมชมบูธต่าง ๆ ที่มาร่วมจัดงาน โดยนายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมและให้กำลังใจเด็ก ๆ ที่มาร่วมต้อนรับ ตลอดจนอวยพรให้เด็กทุกคนสุขภาพแข็งแรง มีความสุข เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของประเทศชาติต่อไป สำหรับกิจกรรมตลอดทั้งวันแบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนที่ 1: EDU Main Stage (ภายในกระทรวงศึกษาธิการ) ประกอบด้วยพิธีเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ 2567, การแสดงพิธีเปิดเรียนดีมีความสุข Festival, TALK SHOW พูดคุยกับดาราต้นแบบ My Idol Talk, การแสดงดนตรีของเด็กและเยาวชน, การแสดงศิลปะร่วมสมัย Cover Dance, การแสดงทางศิลปวัฒนธรรมพลังเด็ก, การประกวดหนูน้อยแห่งวังจันทรเกษม หัวข้อ “ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ครองใจทั่วโลก” โซนที่ 2: EDU Digital Technology (บริเวณถนนราชดำเนินนอก) ประกอบด้วยการนำเสนอนโยบายกระทรวงศึกษาธิการและกิจกรรมการเรียนรู้ในโลกยุคใหม่, กิจกรรมทักษะพื้นฐานด้านสื่อด้านสื่อดิจิทัล, กิจกรรมจากหน่วยงาน โซนที่ 3: EDU Network (บริเวณถนนลูกหลวง) ประกอบด้วยกิจกรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กิจกรรมจากหน่วยงานเครือข่าย, เวทีกิจกรรม การแสดงดนตรี และการแสดงของเยาวชน อีกประสบการณ์พิเศษที่เด็ก ๆ ให้ความสนใจและต่อคิวเข้าร่วมอย่างคึกคัก คือ กิจกรรมตามรอย...
ภารกิจ รมว.ศธ (พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ)
ภารกิจ รมว.ศธ (พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ)
12 มกราคม 2567 / พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) มอบนโยบาย และรับฟังความคิดเห็นในการดำเนินงานของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) โดยมีคณะกรรมการ สสวท. ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ สสวท.เข้าร่วมรับฟัง และเข้าร่วมผ่านระบบออนไลน์ ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบเปิดเผยว่า วันนี้เป็นการมอบนโยบาย และอวยพรปีใหม่ รวมทั้งมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคณะกรรมการ สสวท. และผู้บริหารของ สสวท.ด้วย ซึ่งได้เน้นย้ำนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในแนวทาง “เรียนดี มีความสุข” และเรื่องของการสอบ PISA ที่อยู่ในความสนใจของสังคม โดยมีข้อสั่งการ ให้นำผลการดำเนินงานของการสอบ PISA ปี 2018 และ 2022 มาเปรียบเทียบกันว่า อะไรเป็นปัจจัยแห่งความล้มเหลว เพื่อเราจะได้แก้ไข ให้ดียิ่งขึ้น อาจจะมีบางจุดที่ยังไม่สมบูรณ์ เราก็จะช่วยกันทำให้สมบูรณ์ขึ้น ขณะเดียวกันที่ประชุมก็มีการหารือร่วมกันว่า การยกระดับคุณภาพการศึกษาต้องให้โรงเรียนที่มีความพร้อมเข้ามาเป็นที่เลี้ยงให้กับโรงเรียนที่ด้อยโอกาสกว่า ไม่ว่าจะเป็นในระดับของ ผอ. ดูแล ผอ. ครูดูแลครู นักเรียนก็เป็นเพื่อนกันดูแลเป็นพี่เลี้ยงกัน ในการถ่ายทอดทางวิชาการ ในส่วนของโรงเรียนพี่เลี้ยงนั้น สพฐ. ได้เริ่มทำแล้วมาระยะหนึ่งแล้ว แต่อาจจะยังมีสถานศึกษาที่ไม่อยู่ในสังกัดของ ศธ. ขาดโอกาสเข้ามาร่วมกัน ก็จะต้องไปหารือกับสภาการศึกษาว่าการจะยกระดับการศึกษาในภาพรวมทั้งประเทศจะทำอย่างไร จากนั้นจึงจะนำเรียนคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นว่าเห็นด้วยในแนวทางดำเนินการของ ศธ. หรือไม่ ถ้าหากเห็นด้วยก็อาจมีมติคณะรัฐมนตรีในการให้หน่วยงานการศึกษาอื่นที่ไม่อยู่ในสังกัดหรือกำกับของ ศธ. นำไปดำเนินการขับเคลื่อน เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ ปารัชญ์ ไชยเวช/สรุป ณัฐพล สุกไทย/ถ่ายภาพ
11 มกราคม 2567 – พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) พร้อมด้วย นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. และ ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา ร่วมแถลงข่าวการจัดงานวันครู ครั้งที่ 68 พ.ศ. 2567 พร้อมมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณแก่ผู้ประกวดสปอตวิทยุและสปอตโทรทัศน์เนื่องในโอกาสวันครู โดย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ., นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ., นายนพ ชีวานันท์ เลขานุการ รมว.ศธ. ผู้บริหารระดับสูง และผู้มีเกียรติ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมบุณยเกตุชั้น 1 อาคารหอประชุมคุรุสภา รมว.ศธ.กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อคุณครูและวิชาชีพครูอย่างยิ่ง เพราะคุณครูมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่เราต้องร่วมกันสำนึกในพระคุณที่สอนเด็กและเยาวชนของประเทศเราให้มีพัฒนาการที่ดี ด้วยนโยบายกระทรวงศึกษาธิการคือ “เรียนดี มีความสุข” จึงเน้นย้ำในเรื่องลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงเรื่องของการประเมิน วPA ให้เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็วขึ้น รวมไปถึงเรื่องของการแก้ไขหนี้สินครูเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญมากและหลังจากนี้จะเห็นได้ชัดเจนขึ้น และเรื่องของสื่อการเรียนการสอน วัสดุอุปกรณ์ที่ขาดหรือจำเป็นต้องการเพิ่มเติมจะดำเนินการจัดตามคำของบประมาณเพิ่มให้ ทั้งนี้ อีกมิติหนึ่งคือเรื่องของการลดภาระของนักเรียนและผู้ปกครอง คุณครูต้องปรับวิธีการสอนเพิ่มในรูปแบบออนไลน์ แนะแนวการสอนทักษะในเชิงปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ ถือเป็นการลดภาระคุณครูอีกส่วนหนึ่งด้วย สำหรับการจัดงานวันครูวันที่ 16 มกราคมของทุกปี จัดขึ้นเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณและเป็นกำลังใจของครูที่กำลังสอนในปัจจุปัน ว่าเป็นบุคคลผู้ทรงคุณค่าด้านการศึกษา โดยในปีนี้นอกจากส่วนกลางที่จัดที่กระทรวงศึกษาธิการแล้ว ยังจัดงานครอบคลุมทุกพื้นที่ 77 จังหวัดด้วย นอกจากนี้ยังมีการมอบของขวัญวันครู ซึ่งสิ่งที่พิเศษคือในวันครูปีนี้จะมีการเปิดใช้งานแอปพลิเคชันจับคู่ครูคืนถิ่น Teacher Matching System (TMS) ซึ่งมีที่มาจากหลักหลักคิดที่ว่าหากครูได้กลับไปอยู่ในถิ่นบ้านเกิดจะมีความสุขมากขึ้น ถือเป็นการมอบรางวัลคุณครูผู้ที่มีความประสงค์จะโอนย้ายกลับบ้าน หรือครูผู้ที่มีความประสงค์ตรงกันในการย้ายระหว่างคู่จังหวัด มีฐานข้อมูลในระบบการขอย้ายสามารถติดตามและขอทราบผลได้ในแพลตฟอร์มออนไลน์ เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 68 พ.ศ. 2567 นี้ กระทรวงศึกษาธิการได้จัดเตรียมของขวัญที่จะมอบให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา จากหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 10 หน่วยงาน ดังนี้ 1. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน การปรับหลักเกณฑ์และย้ายครูคืนถิ่น 2. สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 2.1 ระบบจับคู่ครูคืนถิ่น (Teacher Matching System:TMS) เพื่ออํานวยความสะดวกในการดําเนินการย้ายให้กับข้าราชการครูฯ เปิดใช้งานระบบในวันที่ 16 มกราคม 2567 https://tms.otepc.go.th 2.2 หลักสูตร E-learning 2 หลักสูตร คือ 1) ครูฉลาดรู้ด้านการเงิน Teacher‘s Financial Literacy Course (TFL Course) และ 2) PA เสริมพลังการบริหาร สร้างครูสอนดี ผู้เรียนมีความสุข 3. กรมส่งเสริมการเรียนรู้ Science for Gift วิทย์รอบตัว ร่วมท่องโลกวิทยาศาสตร์เสมือนจริง Metaverse โดย สกร. ฟรี 4. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สช. จัดเต็ม 8 หลักสูตร “เติมความรู้ ครูยุคใหม่ ก้าวไปด้วยกัน” ให้ครูโรงเรียนเอกชน เรียนรู้ได้ ทุกที่ ทุกเวลา “Anywhere Anytime” ในลักษณะ E – learning ผ่านแพลตฟอร์มของ สช. จำนวน 8 หลักสูตร ตลอดเดือนมกราคม 2567 5. สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ร่วมมือกับภาคเอกชน จัดอบรมหลักสูตร AIS academy ฟรีค่าลงทะเบียน 3,750 บาท และ หลักสูตรความปลอดภัยในโลกอินเทอร์เน็ต และการจัดการ Google Workspace Admin ฟรีค่าลงทะเบียน 2,500 บาท 6. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา โครงการ “โลกสวย ตาใส ข้าราชการครูไทยไร้ต้อกระจก” การตรวจคัดกรองโรคต้อกระจกตาฟรี จากโรงพยาบาลศุภมิตร ตลอดเดือนมกราคม ณ สำนักงาน สกสค.ทุกจังหวัด 7. สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ โครงการพัฒนาผู้กำกับลูกเสือให้มีคุณวุฒิวูดแบดจ์ ตั้งแต่เดือนมกราคม – พฤษภาคม 2567 ณ กระทรวงศึกษาธิการและค่ายลูกเสือส่วนภูมิภาค 8. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ MWIT the creator การเผยแพร่สื่อการสอน ส่งเสริมการเรียนรู้ และยกระดับศักยภาพการจัดการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มอบเป็นของขวัญปีใหม่แด่คุณครูที่สนใจ ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป...
10 มกราคม 2567 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) มอบนโยบายการศึกษา “เรียนดี มีความสุข” ให้แก่คณะอนุกรรมการ ใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา 245 เขต ออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Meeting และเปิดตัวระบบจับคู่ครูคืนถิ่น Teacher Matching System (TMS) เพื่อมอบให้เป็นของขวัญแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ เนื่องในโอกาสวันครู ปี 2567 ณ ห้องประชุมจันทรเกษม อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ.กล่าวว่า คณะอนุกรรมการ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาทุกท่านถือได้ว่าเป็นผู้นำทางการศึกษาในพื้นที่ เป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารงานบุคคลสู่การปฏิบัติเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมในแต่ละพื้นที่ โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ให้เกิดขึ้นกับทั้งตัวผู้เรียน สถานศึกษา รวมไปถึงครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อจะนำไปสู่นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ดังนั้นขอฝากท่านคณะอนุกรรมการทุกท่านให้นำนโยบายในเรื่องของการ “เรียนดี มีความสุข” ไปขับเคลื่อน ในเขตพื้นที่การศึกษาของท่าน รวมทั้งต้องสร้างจริยธรรมด้านการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ให้เกิดขึ้นในทุก ๆ ระดับ หากทุกภาคส่วนของการศึกษาทำงานโดยยึดหลักธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส เป็นธรรมในการบริหารงาน ก็จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีทั้งในด้านความสุขของผู้เรียน ขวัญและกำลังใจของครูและบุคลากรทางศึกษา และในท้ายที่สุดก็จะส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าด้านการศึกษาของประเทศ รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เร่งดำเนินการนโยบายในการลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะประเด็นของครูและบุคลากรทางการศึกษาคืนถิ่นนั้น ครูต้องสามารถโยกย้ายกลับภูมิลำเนาได้ด้วยความโปร่งใส ไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง มีการใช้บทลงโทษอย่างเข้มงวดและเด็ดขาดกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการเรียกรับผลประโยชน์ในการโยกย้ายหรือแต่งตั้ง รวมทั้งได้พัฒนาระบบจับคู่ครูคืนถิ่น Teacher Matching System (TMS) ที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา สำหรับการดำเนินการย้ายกรณีปกติในรูปแบบของการย้ายสับเปลี่ยน ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างในการทุจริตระหว่างกระบวนการขอย้ายอีกด้วย “ระบบจับคู่ครูคืนถิ่น คือแอปพลิเคชันการจับคู่ย้าย ขณะนี้เป็นระยะเบื้องต้นง่าย ๆ ในกรอบงบดำเนินการก่อน โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาลงข้อมูลในระบบว่าอยากย้ายไปที่ไหน เมื่อมีผู้เข้ามาดูแล้วมีความต้องการตรงกันก็จะจับคู่กันให้ เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่เจ้าตัวจะนำเสนอคณะอนุกรรมการ อ.ก.ค.ศ. ในการดำเนินการพิจารณาปรับย้าย อีกทั้งยังสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ว่าเมื่อมีการจับคู่แล้ว ทำไมถึงมีกรณีไม่ให้ย้ายตามผู้ขอย้ายต้องการ กรณีเหล่านี้ต้องมีคำอธิบายได้ ซึ่งในระยะต่อไปจะทำระบบให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เชื่อว่าต่อไปถ้า ศธ.มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ จะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดขั้นตอนต่าง ๆ ลงไป ครูก็จะได้มีขวัญกำลังใจ มีเวลา สามารถทุ่มเทเป็นต้นแบบในการถ่ายทอดความรู้ ความดีงามสู่สังคมให้ประเทศชาติก้าวหน้าต่อไป”รมว.ศธ.กล่าว ด้าน รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวเพิ่มเติมว่า ในระยะเริ่มต้น สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้จัดทำระบบจับคู่ครูคืนถิ่น Teacher Matching System (TMS) ซึ่งมีทั้งในรูปแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์https://tms.otepc.go.thและแอพพลิเคชั่น TMS ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง android และ ios เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน โดยผู้ที่ต้องการยื่นขอย้ายสับเปลี่ยนผ่านระบบ TMS จะต้องเข้าไปกรอกข้อมูลส่วนตัว วิชาที่สอน ระบบจะดำเนินการจับคู่กับครูที่มีคุณสมบัติตรงกันที่กรอกข้อมูลเข้ามาในระบบ จึงจะสามารถเข้าสู่กระบวนการย้ายกรณีปกติได้ และในอนาคตจะมีการพัฒนาระบบสำหรับการย้ายทุกกรณีให้อยู่ในรูปแบบออนไลน์ เพื่อให้ครูสามารถใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยจะเปิดใช้งานระบบจับคู่ครูคืนถิ่น Teacher Matching System (TMS) มอบให้เป็นของขวัญวันครู ปี 2567 เพื่อให้ครูได้ยื่นคำขอร้องย้ายสับเปลี่ยนได้ในช่วงระหว่างวันที่ 16 – 31 มกราคม 2567 ที่จะถึงนี้ ปารัชญ์ ไชยเวช / ข่าว ศุภณัฐ วัฒนมงคลลาภ / ภาพ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำทัพเด็กและเยาวชนดีเด่น พร้อมด้วยเด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ จำนวน 1,220 คน เข้าเยี่ยมคารวะ และรับโอวาทจากนายกรัฐมนตรี พร้อมรับโล่รางวัลจากรัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 10 มกราคม 2567 – พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) พร้อมด้วย ผู้บริหาร บุคลากร คณะกรรมการดำเนินงาน นำเด็กและเยาวชนดีเด่น และที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ รวม 1,220 คน เข้าคารวะและรับโอวาทจาก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมรับโล่รางวัลจาก รมว.ศธ. เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีกล่าวให้โอวาทว่า ขอแสดงความยินดีกับน้อง ๆ เยาวชนที่น่ารักทุกคน รู้สึกปลาบปลื้มใจที่เยาวชนทุกคนมีความรู้ ความสามารถ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และนำชื่อเสียงอันน่าภาคภูมิใจมาสู่ประเทศชาติ ขอชื่นชมกระทรวงศึกษาธิการรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ร่วมดำเนินการและให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนที่จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนากำลังคนและให้ความสำคัญยิ่งแก่เด็กและเยาวชนของชาติ และสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการยกระดับและพัฒนาคุณภาพการศึกษา พัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งการปลูกฝังการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีความภูมิใจในชาติ ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิ่งสำคัญคือเด็กและเยาวชนทุกคนต้องมีความกตัญญูต่อบิดา มารดา ผู้มีพระคุณและประเทศชาติ มีความรู้จักสามัคคี รักชาติ มีความประพฤติดี พัฒนาตนในกรอบระเบียบวินัยที่ดีและประพฤติตนให้อยู่ในกรอบกฎหมาย รวมทั้งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถควบคู่คุณธรรม ตลอดจนตระหนักถึงความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติ สอดรับกับคำขวัญวันเด็กในปีนี้ที่ได้มอบไว้ให้ว่า ”มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย“ โอกาสนี้ขอแสดงความยินดีและชื่นชมเด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ ทั้ง 1,220 คน ที่ได้รับรางวัลอันน่าภาคภูมิใจในวันนี้ ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่ตนเองมีความขยันหมั่นเพียร ใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนพยายามฝึกฝนให้มีทักษะด้านต่าง ๆ จนเกิดความสำเร็จ สร้างคุณประโยชน์แก่ตนเองสังคมและประเทศชาติ ขอเป็นกำลังใจและขอให้ทุกคนพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ทิ้งการศึกษา และทำในสิ่งที่ตนเองได้ตั้งเป้าหมายไว้ รางวัลในวันนี้ถือเป็นเกียรติประวัติที่สง่างามแก่ตนเองและวงศ์ตระกูล รวมทั้งยังเป็นต้นแบบที่สร้างสรรค์แรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนรุ่นต่อไป จากนั้นเวลา 11.00 น. รมว.ศธ. เป็นประธานมอบโล่รางวัล แก่เด็กและเยาวชนดีเด่น พร้อมด้วยเด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ จำนวน 1,220 คนโดยกล่าวให้ข้อคิดแก่เด็กและเยาวชนตอนหนึ่งว่า วันนี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มอบโล่รางวัลให้แก่เด็กและเยาวชนดีเด่น ที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ ซึ่งเห็นได้ว่าเด็กยุคใหม่มีความกล้าทำในสิ่งที่ดีและถูกต้อง อยากจะฝากถึงน้อง ๆ ทุกคน ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ให้เก็บความดีความภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลในวันนี้ ให้เป็นพลังกายพลังใจ ตั้งใจเรียนให้เก่งและเป็นคนที่มีความก้าวหน้าในสังคมที่มีคุณภาพ สิ่งที่ผมรู้สึกยินดีอีกอย่างหนึ่งคือขณะที่มอบโล่มีเด็กหลายคนแอบมากระซิบว่า “โตขึ้นอยากเป็นคุณครู” ได้ฟังแล้วก็รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่การศึกษาของเราเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเลือกอาชีพในอนาคต หากเด็กคนไหนอยากเป็นครูสอนเด็กรุ่นต่อไปให้เป็นคนมีคุณภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษา ขอให้มุ่งมั่นตั้งใจ เพราะเชื่อว่าเด็กทุกวันนี้มีความเก่งอยู่ในตัว และในอนาคตหวังว่าจะมีเด็กในสายอาชีพครูที่เก่ง สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกศิษย์ได้ ทั้งนี้ นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการคือ “เรียนดี มีความสุข” ที่เน้นย้ำให้เด็กและเยาวชนมีความสุขกับการเรียนให้มากที่สุด วันนี้เราเป็นนักเรียนมีหน้าที่เรียนหนังสือ เป็นคนดี เชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ แบ่งเวลาให้เป็น ใช้โซเชียลให้เป็นประโยชน์ พัฒนาทักษะในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น เรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน เพราะโลกของการเรียนรู้สามารถต่อยอดได้ไม่สิ้นสุด สุดท้ายนี้อยากฝากถึงเด็กและเยาวชนทุกคน เมื่อได้รับรางวัลแล้วให้เก็บเป็นความภาคภูมิใจ เพราะความดีจะส่งผลให้เราประสบความสำเร็จในทุกด้าน นำทุกเรื่องราวความสมหวังความผิดหวังเป็นพลังใจในการดำเนินชีวิต หมั่นศึกษาเล่าเรียน ทำงานเพื่อสังคมบ้านเมือง เติบโตไปในหลากหลายสาขาอาชีพ เพื่อเป็นผู้ที่ดูแลการพัฒนาประเทศต่อไป ทั้งนี้ มีเด็กและเยาวชนดีเด่นที่ผ่านการคัดเลือกจากส่วนราชการ/หน่วยงาน 17 หน่วยงาน โดยพิจารณาคัดเลือกจากเด็กและเยาวชนที่มีความประพฤติดี เรียนดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์ ขยัน ประหยัด มีความมานะอดทน หาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง กตัญญูช่วยเหลือพ่อแม่ ผู้ปกครอง และอุทิศตนเพื่อส่วนรวม เด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ ใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านวิชาการ, ด้านศิลปวัฒนธรรมและดนตรี, ด้านทักษะฝีมือวิชาชีพ, ด้านกีฬาและนันทนาการ ด้านศีลธรรม คุณธรรมและจริยธรรม จำนวน 604 คน เด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ จำนวน 279 คน และประเภททีม จำนวน 337 คน สำหรับประชาชนและผู้สนใจเข้าร่วมงานวันเด็กแห่งชาติ พบกันได้ในวันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2567 ตั้งแต่เวลา 07.00 – 16.00 น. โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานในเวลา 08.30 น. ภายใต้แนวคิด “เรียนดี มีความสุข” เพื่อให้เด็ก ๆ เกิดกระบวนการเรียนรู้ในทุกรูปแบบการเรียน มุ่งเน้นกิจกรรมActive Learningที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime) สามารถเข้าร่วมฟรีตลอดงาน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-618-7781-4 หรือโทร. 086-341-9978 พบพร ผดุงพล / ข่าว ณัฐพล สุกไทย / ภาพ
8 มกราคม 2567 – พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ให้การต้อนรับ นายณ็อง-โกลด ปวงเบิฟ (H.E. Mr. Jean-Claude Poimboeuf) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย และนางอีฟ ลูแบง (Mrs. Eve Lubin) ที่ปรึกษาความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยและฝรั่งเศส โดยมี นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. นางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงาน ศธ. นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัด ศธ. นายปราโมทย์ ด้วงอิ่ม คณะทำงาน รมว.ศธ. นางพิมพ์วรัชญ์ เมืองนิล รักษาการผู้อำนวยการสำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ และผู้เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ ณ ห้องรับรองดำรงราชานุภาพ กระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศธ.กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” (Happy Learning) ที่เน้นถึงผลแห่งความสุขของผู้เรียน มีการส่งเสริมแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่นอกเหนือจากในห้องเรียน เพื่อลดภาระครู ให้นักเรียนสามารถเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) มีการส่งเสริมให้นักเรียนหารายได้ระหว่างเรียนได้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของนักเรียนและผู้ปกครอง และมีการสะสมหน่วยกิตทั้งในและนอกห้องเรียนเพื่อต่อยอดการเรียนด้วย ขอบคุณสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสที่ให้การสนับสนุนและร่วมมือด้านการศึกษาด้วยดีมาตลอด ด้วยประเทศไทยและฝรั่งเศสมีความสัมพันธ์ที่ยาวนาน มีบุคคลชั้นนำของประเทศไทยจำนวนมากที่จบการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส และยังมีโครงการครูผู้ช่วยสอนภาษาฝรั่งเศส (French Assistants Teaching Project – FTA) ซึ่งจัดขึ้นทุกปี ทั้งนี้ ขอชื่นชมความมีชื่อเสียงในหลายด้านของประเทศฝรั่งเศส ทั้งด้านอาหารและแฟชั่น อีกทั้ง รัฐบาลไทยอยู่ในช่วงส่งเสริมกิจกรรมด้าน soft power จึงเป็นโอกาสดีที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางความร่วมมือด้านการศึกษาร่วมกัน นายณ็อง-โกลด ปวงเบิฟกล่าวว่า ขอบคุณ รมว.ศธ.ที่ให้โอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและพูดคุยความร่วมมือด้านการศึกษา และสนับสนุนเรื่องการเรียนการสอนภาษาฝรั่งเศสมาอย่างยาวนาน ภายใต้พระราชูปถัมภ์ของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งทรงอุปถัมภ์เรื่องการเรียนภาษาฝรั่งเศสมาโดยตลอด ทั้งนี้ สมาคมฝรั่งเศส (Alliance Française) มีความร่วมมือกับโรงเรียนในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ทั้งการสอนภาษาฝรั่งเศสให้กับบุคลทั่วไป และการอบรมครูผู้สอนภาษาฝรั่งเศสในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันได้มีโรงเรียนไทยที่เปิดสอนภาษาฝรั่งเศสทั่วประเทศ มีความร่วมมือในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ เชียงราย และภูเก็ต นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือที่สำคัญในระดับทวิภาคี และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส อย่างเห็นได้ชัด ยินดีอย่างยิ่งที่จะสานต่อความร่วมมือทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม และสาขาอื่น ๆ รวมถึง การส่งเสริมด้านอาชีวศึกษาด้านการออกแบบและแฟชั่น แลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ต่อไป กลุ่มความร่วมมือทวิภาคี สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป.ศธ. / ข้อมูล กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สป. / เรียบเรียง
กระทรวงศึกษาธิการ 9 มกราคม 2567 – พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่เกษียณอายุราชการ สับเปลี่ยนหมุนเวียน และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 9 ราย ดังนี้ 1.นายธนู ขวัญเดชรองเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงสำนักงานปลัดกระทรวง 2.นายวรัท พฤกษาทวีกุลผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงสำนักงานปลัดกระทรวง 3.นายธนากร ดอนเหนือผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ 4.นายนิติ นาชิตที่ปรึกษาสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาการศึกษาสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา 5.นายธฤติ ประสานสอนผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาการศึกษาสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา 6.นายชัยณรงค์ ป้องบ้านเรือศึกษาธิการภาค 7 สำนักงานศึกษาธิการภาค 7 สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงสำนักงานปลัดกระทรวง 7.นายชาตรี ม่วงสว่างศึกษาธิการภาค 15 สำนักงานศึกษาธิการภาค 15 สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงสำนักงานปลัดกระทรวง 8.นายชูสิน วรเดชศึกษาธิการภาค 6 สำนักงานศึกษาธิการภาค 6 สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงสำนักงานปลัดกระทรวง 9.ว่าที่ร้อยตรีเจษฎาภรณ์ พรหนองแสนศึกษาธิการภาค 17 สำนักงานศึกษาธิการภาค 17 สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงสำนักงานปลัดกระทรวง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป “เหตุผลที่ตั้งนายธนากร เป็นอธิบดี สกร.คนแรก เนื่องจากนายธนากรเป็นลูกหม้อน่าจะรู้ระบบการทำงานของสกร.ดี น่าจะทำงานได้ด้วยดี จะมาช่วยผลักดันเรื่องโครงสร้าง การเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะนโยบายของรัฐมนตรี คือเรื่องการสอบเทียบที่ต้องเร่งผลักดัน ส่วนเรื่องทุจริตใน สกร.ก่อนหน้านี้ก็อยู่ในกระบวนการตั้งคณะกรรมการยังไม่เสนอขึ้นมา สำหรับนายวรัท กับ นายธนู ที่มาเป็นรองปลัด ก็เพราะเคยอยู่ที่สำนักงานปลัดกระทรวงมาก่อน อย่างไรก็ตามกระบวนการสรรหาตนได้ให้ทุกคนเขียนวิสัยทัศน์และความประสงค์ว่าต้องการไปอยู่ที่ไหน แล้วเรียกมาสัมภาษณ์ว่าทำอะไรได้และความสามารถส่วนตัวด้วยว่ายังมีไฟและอยากทำหรือไม่ นอกจากนี้ตนจะให้เขียน KPI หรือ ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของแต่ละคนด้วยถ้าไม่เป็นไปตาม KPI ก็จะมีการปรับย้ายอีกครั้ง โดยให้เวลาทำงาน 1 ปี เพราะคนที่จะเปลี่ยนตำแหน่งเราต้องเรียกมาสัมภาษณ์เพื่อดูวิธีคิด และเขียนวิสัยทัศน์เองหรือไม่ จะอ่านแค่เอกสารไม่ได้”รมว.ศธ. กล่าว อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว สมประสงค์ ชาหารเวียง / กราฟิก กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สป.
สำนักพิมพ์มติชน – 9 มกราคม 2567 / พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ., นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ., นายเชิดศักดิ์ โภคกุลกานนท์ ที่ปรึกษา รมว.ศธ., นายวิศรุต ปู่เพ็ง ที่ปรึกษา รมช.ศธ., นายนพ ชีวานันท์ เลขานุการ รมว.ศธ., นายพิษณุ พลธี ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.ศธ., นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. และผู้บริหารในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมแสดงความยินดีกับหนังสือพิมพ์มติชน เนื่องในวันคล้ายวันก่อตั้ง ‘หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน’ ครบรอบปีที่ 46 เข้าสู่ปีที่ 47 และขอบคุณการนำเสนอข่าวของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมี นายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นางสาวปานบัว บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บมจ.มติชน และคณะผู้บริหารในเครือมติชน ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะผู้บริหาร ได้เข้ากราบนมัสการสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร หรือเจ้าคุณธงชัย เนื่องในโอกาสปีใหม่ พุทธศักราช 2567 เพื่อความเป็นสิริมงคล พบพร ผดุงพล / ข่าว อานนท์ วิชานนท์ / ภาพ
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาทสำหรับลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ปี 2567ดังนี้ “ความสุขความสบายทั้งหลายนั้น เกิดขึ้นได้ด้วยการทำงานและทำความดี เด็กทุกคนจึงต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และฝึกฝนอบรมตนให้เต็มที่ จะได้สามารถประกอบอาชีพการงาน และปฏิบัติบำเพ็ญความดี เพื่อสร้างสรรค์ความสุขความเจริญทั้งของตนเองและส่วนรวมได้ในอนาคต” พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต วันที่ 3 มกราคม พุทธศักราช 2567
สาร นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาส “วันเด็กแห่งชาติ” ประจำปีพุทธศักราช 2567 วันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2567 เด็กและเยาวชนมีส่วนสำคัญในการร่วมกำหนดอนาคตของสังคมและประเทศชาติ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยเด็กและเยาวชนที่จะต้องได้รับการพัฒนาความรู้ ทักษะ และการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทุกมิติอย่างเหมาะสม ทั้งด้านสุขภาวะทางกายและจิตใจ รวมทั้งมีประสบการณ์และทักษะการดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบัน และมีความพร้อมสำหรับการโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต โดยรัฐบาลมุ่งมั่นสร้างโอกาสในทุกด้านให้แก่เด็กและเยาวชนอย่างทั่วถึง รวมทั้งปลูกฝังความเป็นคนดี มีวินัย มีคุณธรรมและจริยธรรม ยึดมั่นในสถาบันหลักของชาติ เพื่อให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของสังคม วันเด็กแห่งชาติปีนี้ ผมได้มอบคำขวัญว่า “มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย” เพื่อให้เด็ก เยาวชน รวมถึงผู้ปกครองทุกคนตระหนักว่า โลกปัจจุบันเชื่อมโยงกันไร้พรมแดนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องมีมุมมองที่กว้างขวางเป็นสากล มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ สามารถคิดวิเคราะห์ แยกแยะ และสร้างสรรค์นวัตกรรม รวมทั้งเป็นผู้ที่เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับตัวให้ก้าวทันโลกยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ตลอดจนเป็นพลเมืองที่เคารพและยอมรับความแตกต่างและความหลากหลายในทุกมิติ มีความคิดและจิตใจที่เปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น อันเป็นพื้นฐานในการสร้างสังคมแห่งประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและเป็นพลังในการพัฒนาสังคมและขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ เหนือสิ่งอื่นใดเป็นผู้ที่ธำรงไว้และนำอัตลักษณ์ความเป็นไทยไปสู่สากล เนื่องในโอกาส “วันเด็กแห่งชาติ” ประจำปีพุทธศักราช 2567 ผมขออวยพรให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคน ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพเพียบพร้อมไปด้วยความสุขและความมั่นคงในการดำรงชีวิต เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สังคมไทยให้เจริญก้าวหน้าต่อไป นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบสาร เนื่องในโอกาส “วันเด็กแห่งชาติ” ประจำปีพุทธศักราช 2567 วันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2567
8 มกราคม 2567 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชื่นชมนักศึกษาจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่คว้ารางวัลจาก การแข่งขันแกะสลักน้ำแข็งจากหิมะระดับนานาชาติ ครั้งที่ 16 (16th International Collegiate Snow Sculpture Contest, 2024) ในระหว่างวันที่ 4 – 7 มกราคม 2567 ณ เมือง Harbin สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งนำชื่อเสียงและความภาคภูมิใจมาสู่กระทรวงศึกษาธิการและประเทศไทย รมว.ศธ.เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ โดย สอศ. ได้ส่งทีมนักศึกษาเข้าร่วม “การแข่งขันแกะสลักน้ำแข็งจากหิมะนานาชาติ” ณ เมือง Harbin สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยในปี 2553 ถึงปี 2566 ทีมนักศึกษาจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้รับรางวัลชนะเลิศ อันดับ 1 เหรียญทอง มาโดยตลอด แต่ด้วยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้การแข่งขันฯ ตั้งแต่ปี 2564 – 2566 Harbin Engineering University (HEU) ปรับเปลี่ยนรูปแบบในการแข่งขันในรูปแบบออนไลน์ โดยการส่งคลิปวิดีโอ การปั้นโมเดล และภาพสเก็ตแทน สำหรับในปี 2567 สถานการณ์ฯ เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้จัดส่งทีมนักศึกษาอาชีวศึกษา จำนวน 3 ทีม ประกอบไปด้วย วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี และวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา เข้าร่วมการแข่งขันแกะสลักน้ำแข็งจากหิมะระดับนานาชาติ โดย Harbin Engineering University (HEU) และ China-Harbin International Ice and Snow Festival สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมสนับสนุนและเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฯ ซึ่งมีตัวแทนจาก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน รัสเซีย อังกฤษ อิตาลี ออสเตรเลีย และไทย รวมทั้งหมด 58 ทีม เข้าร่วม ผลปรากฏว่า ทีมนักศึกษาสาขาวิจิตรศิลป์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา ชนะเลิศอันดับ 1 เหรียญทอง จากผลงาน “ตุ๊ก ๆ ออนทัวร์” โดยนำรถตุ๊ก ๆ มาเป็นสื่อตัวกลางในการพาตัวละครต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีในประเทศไทย เพื่อให้ชาวโลกได้เห็นศิลปะไทยในรูปแบบร่วมสมัย ส่วนทีมนักศึกษา สาขาวิจิตรศิลป์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี และวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี ได้รับรางวัลที่ 3 ร่วมกัน จากผลงาน “มนุษย์ กับ ธรรมชาติ” ภายใต้แนวคิด ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของมนุษย์ และผลงาน “โลกแห่งสันติภาพ World of peace” ภายใต้แนวคิด เพื่อให้ทุกคนบนโลก ตระหนักถึงความสำคัญ และงดใช้ความรุนแรง ร่วมมือร่วมใจในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้น โดยทั้ง 3 ทีมได้รับโล่รางวัลพร้อมประกาศนียบัตรสำหรับการแข่งขันครั้งนี้ “ในนามของกระทรวงศึกษาธิการและรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต้องขอชื่นชมนักศึกษาที่เข้าร่วมการแข่งขันฯ ที่มุ่งมั่นตั้งใจ อดทน เสียสละฝึกซ้อมเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปแข่งขันในระดับนานาชาติ จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศได้ ซึ่งรัฐบาลและ ศธ. มีความมุ่งมั่นในการสร้างและพัฒนาศักยภาพผู้เรียนในทุกระดับ การแข่งขันแกะสลักหิมะนานาชาติในครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงศักยภาพของนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา ให้ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เห็นถึงความสามารถ ทั้งยังเป็นการนำความรู้และทักษะวิชาชีพมาฝึกประสบการณ์จริงผ่านการแข่งขัน เพื่อที่จะได้นำไปพัฒนาและประยุกต์ใช้ในการทำงานจริงในอนาคต โดยจะเชิญทั้งคณะเข้าพบเพื่อขอบคุณและชมเชยอย่างเป็นทางการต่อไป”รมว.ศธ. กล่าว ทั้งนี้ นักศึกษาผู้เข้าร่วมการแข่งขันฯ และคณะครู รวม 17 คน จะกลับสู่ประเทศไทยด้วยสายการบิน China Airlines เที่ยวบิน CA979 ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 9 ม.ค. 67 เวลาประมาณ 00.10 น. โดย รมว.ศธ. ได้มอบหมายให้นายประพัทธ์ รัตนอรุณ รองเลขาธิการ กอศ. เป็นหัวหน้าคณะเดินทางเพื่อดูแลความเรียบร้อยและอำนวยความสะดวกในครั้งนี้ ประชาสัมพันธ์ สอศ. / ข้อมูล อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สป.
เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2567 พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (วาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ) ณ อาคารรัฐสภา ในส่วนของการจัดสรรงบประมาณกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กราบเรียน ท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เคารพ ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติ กระผม พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขอชี้แจงประเด็นความห่วงใยและข้อเสนอแนะของท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ กระผม ได้ติดตามฟังการอภิปรายของท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตลอด 3 วันที่ผ่านมา มีประเด็นที่ท่านสมาชิกฯ ได้แสดงความคิดเห็น ความห่วงใย และความต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการ เร่งดำเนินการปรับปรุงและพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก การแก้ปัญหาหนี้สินครู การพัฒนากำลังคนสายอาชีวศึกษา การสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การอุดหนุนด้านการศึกษา การสนับสนุนค่าใช้จ่ายอาหารกลางวัน เป็นต้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวตามที่อภิปรายและนำเสนอมาแล้ว ทุกท่านคงทราบดีว่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหาร แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอขอบคุณในประเด็นความห่วงใยและข้อแนะนำ กระผมขออนุญาตเรียนว่า งบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการที่ได้รับการจัดสรร 5 ปีย้อนหลัง สามารถจำแนกตามงบรายจ่าย (ดังกราฟ) ที่มีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตามในปีนี้ทางรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นผู้นำ ได้กรุณาในการปรับเพิ่มงบประมาณขึ้นมาประมาณ 0.31% ซึ่งหากดูโครงสร้างงบประมาณ จะเห็นว่างบประมาณส่วนใหญ่ จะอยู่ที่งบบุคลากร 61.58% งบเงินอุดหนุน 27.59% งบดำเนินงาน 3.08% งบลงทุน 3.83% และงบรายจ่ายอื่น 3.92% อาจจะถือว่าน้อย ซึ่งจากการอภิปรายที่ปรากฎข้อมูลทางสื่อออนไลน์ต่างๆ ทุกคนอาจจะพูดว่าเป็นปัญหา แต่ผมและทีมงานเชื่อว่า มันเป็นความท้าทายการศึกษาในปัจจุบัน ที่เราจะต้องร่วมกันในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็น : การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ผลคะแนน PISA 2022 ในระดับนานาชาติที่ลดลง ทักษะความสามารถทางการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ลดลง โรงเรียนขนาดเล็กที่มีจำนวนมากขึ้น เนื่องจากอัตราประชากรการเกิดน้อยลง ครูไม่ครบชั้น สวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ยังมีไม่ค่อยเพียงพอ งบประมาณอาหารกลางวัน และอาหารเสริม (นม) ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่มีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ยังมีเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจต่างๆ โครงการอาชีวะเรียนฟรี มีอาชีพ ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ แต่ที่สำคัญ ซึ่งเป็นความคาดหวังของสังคมต่อการศึกษาไทย เป็นเรื่องประเด็นหลักที่ทางรัฐบาลนำมาเป็นแนวคิดในการกำหนดงบประมาณที่จะดำเนินการแก้ไข จากความความท้าทายต่างๆ ประกอบกับงบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนงบประมาณ เพื่อให้ได้งบประมาณมาพัฒนาคุณภาพการศึกษา ภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามสร้างโอกาส ความเท่าเทียมทางการศึกษา โดยนำเทคโนโลยี อุปกรณ์ และสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เข้ามาช่วยในการลดข้อจำกัดด้านงบประมาณ เพื่อให้ผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันทางด้านรายได้ของผู้ปกครอง สภาพพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล ซึ่งในส่วนนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้น้อมนำแนวคิดการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ของรัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ท่านทรงมีพระอัจฉริยภาพและสายพระเนตรอันยาวไกล และพระราชปณิธานอันแน่วแน่ ที่ทรงมีพระราชปณิธานในการจัดการศึกษาให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และมีคุณภาพ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น มาแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครู ครูไม่ครบชั้น ครูสอนไม่ตรงสาขาวิชาเอก เป็นต้น กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้กำหนดนโยบายเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการเรียนได้ มีความรู้ที่เท่าเทียมกัน ภายใต้นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) โดยจะจัดทำแพลตฟอร์มการเรียนรู้ มาผสมผสานกับการเรียนการสอนแบบเดิม หรือเรียกว่าเป็นการเรียนการสอนแบบ Hybrid เพื่อขยายการเรียนรู้ให้คนทุกช่วงวัยทั่วประเทศมีโอกาสทางการศึกษา เข้าถึงเนื้อหาสาระที่มีคุณภาพ ตลอดจนพัฒนาการศึกษาผ่านระบบการสะสมหน่วยกิตการเรียนรู้ (Credit Bank System) กระทรวงศึกษาธิการ ยังมีความตั้งใจที่จะนำระบบสอบเทียบ กลับมาใช้อีกครั้ง(ไฮไลต์สีแดง ตามภาพด้านล่าง)เพราะเราทราบกันดีว่า ภาระหนี้สินของครัวเรือนที่เกิดขึ้น มาจากการส่งบุตรหลานเข้าเรียน ดังนั้น ผู้เรียนที่ไม่ต้องการเสียเวลาเรียนในระบบ ต้องสามารถสอบเทียบได้ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ ผู้เรียนบางส่วนสามารถเทียบคุณวุฒิการศึกษาจากต่างประเทศ เพื่อมาใช้ในการศึกษาต่อ โดยไม่ต้องเสียเวลาเรียนในระบบการศึกษาปกติ โดยเฉพาะผู้เรียนที่มีความเป็นเลิศด้านต่างๆ สามารถนำเวลาที่เหลือไปเลือกเรียนตามความสนใจ หรือความถนัดของตนเอง กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดให้มีหลักสูตรระยะสั้น (Up-Skill, Re-Skill, New-Skill) เพื่อสร้างทักษะอาชีพและทักษะชีวิต สามารถขอรับรองมาตรฐานวิชาชีพ (Skill Certificate) ได้ในระหว่างที่กำลังศึกษา เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้เรียนมีรายได้ระหว่างการเรียน ควบคู่กับการทำงานไปพร้อมกัน กระผมจึงมีความเชื่อมั่นว่า นโยบายด้านการศึกษาที่รัฐบาล คณะรัฐมนตรีโดยนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และกระทรวงศึกษาธิการได้รับแนวทางมากำหนดนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” จะช่วยสร้างโอกาส ความเสมอภาคทางการศึกษาแก่ผู้เรียนทุกช่วงวัย กระทรวงศึกษาธิการมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะทำให้นโยบายดังกล่าว ให้สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงใคร่ขอกราบเรียนท่านประธานสภาฯ ไปยังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เคารพทุกท่าน ได้โปรดให้การสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการสามารถขับเคลื่อนนโยบาย เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาการศึกษาของประเทศ ขอบคุณครับ คลิปคำชี้แจงของ รมว.ศธ. https://www.facebook.com/MOE360degree/videos/233353203140293
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดกิจกรรมอาชีวะอาสา ร่วมด้วยช่วยประชาชน( Fix it Center) เทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2567 ให้บริการตรวจสภาพรถยนต์และรถจักรยานยนต์ก่อนการเดินทางฟรี จำนวน 101 ศูนย์บริการทั่วประเทศ โดยมีพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานปล่อยขบวนคาราวานอาชีวะอาสา ร่วมด้วยช่วยประชาชน ณ บริเวณสนามหญ้า หน้าอาคารราชวัลลภกระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพฯ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางจราจรอันนำไปสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิตตามนโยบายรัฐบาลกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ระดมนักเรียนนักศึกษาอาชีวะจิตอาสา และครูอาจารย์ สาขาวิชาช่างยนต์ และสาขาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง จากสถานศึกษาในสังกัดทั่วประเทศ จัดศูนย์อาชีวะอาสา ร่วมด้วย ช่วยประชาชน Fix it Center ครอบคลุม 77 จังหวัด จำนวน 101 ศูนย์บริการ ตามเส้นทางถนนสายหลักและสายรองทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2566 – 2 มกราคม 2567 ระหว่างเวลา 06.00 – 18.00 น. โดยจุดสังเกต คือ เต็นท์สีม่วง ซึ่งจะมีป้ายบอกทางเป็นระยะก่อนถึงศูนย์บริการ ซึ่งภายในศูนย์จะให้บริการตรวจเช็คสภาพความพร้อมของรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ฟรีก่อนเดินทาง ประมาณ 20 รายการ ได้แก่ ตรวจระบบเบรก สภาพยาง อุปกรณ์ปัดน้ำฝน ระดับน้ำมันเครื่องและความสกปรกของน้ำมันเครื่อง ท่อยาง หม้อน้ำและรอยรั่ว การทำงานของไฟส่องสว่าง และไฟสัญญาณต่าง ๆ รวมทั้งบริการเครื่องดื่ม ผ้าเย็น ที่นั่งพักผ่อน และแนะนำข้อมูลเส้นทางแก่ประชาชนผู้เดินทาง เพื่อสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนแก่ประชาชนที่เดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567 โดยได้รับการสนับสนุนน้ำมันเครื่อง วัสดุอุปกรณ์ การจัดฝึกอบรมนักเรียน นักศึกษา จากภาคีเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ,บริษัท ซูซูกิ โมโตเซลส์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ,บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด และบริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต่อไปอีกว่า กิจกรรมในครั้งนี้ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ประสบปัญหาเรื่องยานพาหนะในการเดินทาง โดยสามารถค้นหาข้อมูลและจุดบริการจากแอปพลิเคชันอาชีวะอาสา และที่พิเศษไปกว่านั้น สอศ.ยังได้จัดให้บริการตรวจสภาพรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมกับบริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบางศูนย์บริการกว่า 50 ศูนย์ในทั้งหมด 101ศูนย์บริการ โดยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร.02-281-5555 กด 0 การดำเนินกิจกรรมดังกล่าว ถือได้ว่าสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนชาวไทยในโอกาสเทศกาลปีใหม่นี้เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างยิ่ง รวมทั้งเป็นการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับภาครัฐและภาคเอกชน สร้างให้เด็กนักเรียนอาชีวศึกษามีจิตอาสา บริการสังคม ทำงานเป็นทีม และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ พร้อมกับได้ฝึกงานจากประสบการณ์จริง เช็คจุดบริการออนไลน์ได้ที่ http://vecrsa.vec.go.th/
ปิดงานสวยสมบูรณ์แบบ EDU SOFT POWER FESTIVAL 2024 และการแถลงผลงานตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ รอบ 3 เดือน เสมา 1 ขอบคุณทุกพลังสร้างสรรค์ที่เนรมิตงานยักษ์ขึ้นอย่างเรียบง่าย ประหยัด แต่ปังสุดมหัศจรรย์ แย้มปีหน้ามาร่วมกันจัดอีก ต่อยอดให้เป็นงานประจำปีกระทรวงศึกษาธิการ 27 ธันวาคม 2566/ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมงาน EDU SOFT POWER FESTIVAL 2024 และการแถลงผลงานตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ รอบ 3 เดือน พร้อมเป็นประธานมอบรางวัลและปิดงาน ท่ามกลางความสุขของชาวกระทรวงศึกษาธิการ และประชาชนที่มาร่วมเที่ยวชมงาน ณ เวทีการแสดงริมคลองผดุงกรุงเกษม ข้างกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า พิธีปิดในวันนี้เป็นความตั้งใจที่จะมาขอบคุณทุกท่าน ทั้งผู้บริหาร ครู นักเรียน นักศึกษา หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ที่ได้ร่วมกันดำเนินการจัดงานด้วยดีทั้ง 3 วันที่ผ่านมา พวกเราได้แสดงออกถึงความร่วมมือร่วมใจกัน ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ก็เป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรี คือ “เรียบง่าย ประหยัด” ทำเองทุกอย่างโดยอาศัยพลังความรู้ความสามารถ และความร่วมมือร่วมใจของทุกสังกัดที่ร่วมงานกันอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย แต่ก็สามารถต่อกันติดทุกจุด ทำให้งานเกิดความราบรื่น และเป็นที่กล่าวถึงของผู้ที่ได้มาร่วมงาน รวมถึงนักท่องเที่ยวว่า กระทรวงศึกษาธิการสามารถจัดงานที่ยิ่งใหญ่ได้มากขนาดนี้ ทำให้ผลงานของกระทรวงศึกษาธิการเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะทางโลกออนไลน์ มีการจัดกิจกรรม การกดไลก์ กดแชร์ กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งต่อจากนี้ไปเราก็คงต้องต่อยอดสิ่งที่ทำไปทั้งหมดนี้ ด้วยความรัก ความสามัคคี และความสุขภายใต้นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ในการจัดงานครั้งนี้นอกจากจะเรียบง่ายประหยัดแล้ว สิ่งที่ได้เห็นชัดเจนคือการที่นักเรียน นักศึกษา และพวกเราได้ใช้การ Active Learning ได้มาลองปฏิบัติ ลงมือทำจริง ช่วยให้เห็นว่า มีข้อติดขัดอะไรบ้าง พิจารณาจุดแข็งของเรา รวมถึงจุดไหนที่ยังไม่สมบูรณ์ ก็จะได้ปรับปรุงเพื่อนำไปใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งปีหน้าเราก็คงจะได้กลับมาพบเจอกัน และจัดงานอย่างวันนี้ขึ้นอีกครั้ง เพื่อทำให้ผลงานชัดเจนขึ้น สร้างให้เป็นงานประจำปีของกระทรวงศึกษาธิการ โดยหลังจากนี้อาจจะมีคำชื่นชมหรือคำแนะนำ ก็ขอให้พวกเราทุกคนช่วยกันรับฟัง รับทราบ แล้วนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบรางวัล ทั้งสิ้น 10 รางวัล ดังนี้ รางวัล RRR AWARD 2023 จากผลการแข่งขัน RRR AWARD 2023 (3 รางวัล) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 ณ วิทยาลัยเทคนิคระยอง ได้แก่ วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ ธุรกิจปูดำขยำเงิน, วิทยาลัยอาชีวศึกษาร้อยเอ็ด ธุรกิจเครื่องสำอางธรรมชาติ และวิทยาลัยการอาชีพเบตง ธุรกิจน้ำพริกส้มแขกปลานิลหนังกรอบ รางวัลยอดวิวช่องทางสื่อโซเชียลภายในงาน EDU SOFT POWER FESTIVAL 2024 ที่ได้รับความสนใจและชื่นชอบมากที่สุด (3 รางวัล) ได้แก่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาร้อยเอ็ด รายการ supannika cosmetics, วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา รายการอาหารชาววังครัวเสาวภา และวิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน รายการธุรกิจถั่วเคลือบกรุบกรอบ รางวัลร้านค้าที่ได้รับความสนใจและชื่นชอบมากที่สุด (4 รางวัล) ได้แก่ รางวัลร้านอาหารที่ได้รับความสนใจและชื่นชอบมากที่สุด : วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ร้านลำขนาดเด้ รางวัลร้านเครื่องดื่มที่ได้รับความสนใจและชื่นชอบมากที่สุด : วิทยาลัยเทคนิคระยอง ร้านกาแฟใบชะมวง รางวัลร้านแฟชั่นที่ได้รับความสนใจและชื่นชอบมากที่สุด : วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุรินทร์ ร้านปกาสตราว ผ้าไหมเมืองสุรินทร์ รางวัลร้านขายของตามเทศกาลที่ได้รับความสนใจและชื่นชอบมากที่สุด : สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้สกลนคร ผ้าย้อมคราม หัตถกรรมภูมิปัญญาสู่สายตาโลก