11 มิถุนายน 2568 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านการศึกษาพิเศษ ครั้งที่ 9 ภายใต้หัวข้อช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต : การเรียนรู้ การดำรงชีวิต และการทำงาน จัดโดยคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และสถาบันศิโรจน์ผลพันธิน ร่วมกับ คุรุสภา มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ในพระอุปถัมภ์ และโรงเรียนปัญญาวุฒิกร ระหว่างวันที่ 11-13 มิถุนายน 2568 ณ หอประชุมรักตะกนิษฐ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต โดย รศ.ดร.พรชณิชย์ แก้วเนตร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต พร้อมด้วยคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ให้การต้อนรับ มีผู้เข้าร่วม อาทิ ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา, คณะผู้แทนจากมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ในพระบรมราชินูปถัมภ์, มูลนิธิอนุสารสุนทรเพื่อสงเคราะห์คนหูหนวก ในพระอุปถัมภ์, เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และคณะผู้แทนจากสถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย พร้อมด้วยคณาจารย์ นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ รมว.ศธ.กล่าวในพิธีเปิดว่า การประชุมวิชาการนานาชาติในครั้งนี้ เป็นการเปิดเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ด้านการศึกษาพิเศษระดับนานาชาติ และเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าถึงนวัตกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ จึงนับว่าเป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษา เพื่อให้เข้าถึงทุกการพัฒนา ปัจจุบัน การศึกษาของเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต่างๆ เช่น ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เป็นต้น การจัดประชุมครั้งนี้ นับเป็นเวทีที่ทรงคุณค่า เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ จัดแนวทางการปฏิบัติที่ดีจากนานาชาติ และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน เข้าถึงนวัตกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ สอดรับกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ“เรียนดี มีความสุข”ซึ่งให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านของชีวิตเด็กที่มีความต้องการพิเศษในทุกมิติ เพื่อพัฒนาศักยภาพให้มีคุณภาพ เป็นพลเมืองโลกที่ดี และอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข ขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาพิเศษทุกท่านที่มาร่วมกันถ่ายทอดองค์ความรู้ และคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดงานในครั้งนี้ . สุกัญญา จันทรสมโภชน์ / สรุป – กราฟิก ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า / ภาพ
ภารกิจ รมว.ศธ (พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ)
ภารกิจ รมว.ศธ (พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ)
11 มิถุนายน 2568 – พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีต้อนรับ พร้อมให้โอวาทและกำลังใจครูอาสาสมัครสอนภาษาจีน รุ่นที่ 23 ร่วมกับศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษาจีนระหว่างประเทศ (Center for Language Education and Cooperation: CLEC) เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ในรูปแบบ On-site และ Online โดยได้รับเกียรติจากสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม และประธานกรรมการบริหารสถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเล พร้อมด้วยผู้บริหารจากฝ่ายจีน ได้แก่ นายยวี่ หยุนเฟิง ผู้อำนวยการ CLEC นางซวี หลาน อุปทูตฝ่ายการศึกษา สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยครูอาสาสมัครเข้าร่วมงาน จำนวน 664 คน ณ หอประชุมคุรุสภา รมว.ศธ. กล่าวว่าโครงการครูอาสาสมัครสอนภาษาจีน ถือเป็นหนึ่งในความร่วมมือด้านการศึกษาที่สำคัญระหว่างไทยและจีน ซึ่งมีบทบาทในการเสริมสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ โดยครูอาสาสมัครที่มาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย ไม่เพียงถ่ายทอดความรู้ด้านภาษาและวัฒนธรรมจีนให้แก่เยาวชนไทยเท่านั้น แต่ยังได้เรียนรู้และปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตของสังคมไทย เป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ไม่ใช่เพียงแต่การทำงาน แต่คือการเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน นับเป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันที่ทรงคุณค่า และเป็นกำลังสำคัญต่อการกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและจีน “ความร่วมมือด้านการศึกษา เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เสริมสร้างความเข้าใจอันดี และเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศ” รมว.ศธ. กล่าว ปลัด ศธ.กล่าวเพิ่มเติมถึงโครงการครูอาสาสมัครสอนภาษาจีน เป็นหนึ่งในความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยและจีน ภายใต้บันทึกความเข้าใจที่ลงนามร่วมกันในปี 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมทั้งการส่งครูอาสาสมัคร การพัฒนาหลักสูตร การให้ทุนการศึกษา และการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษา โดยตั้งแต่เริ่มโครงการในปี 2546 มีครูอาสาสมัครปฏิบัติหน้าที่แล้วกว่า 19,494 คน ทั้งนี้ ในปี 2568 ครูอาสาสมัครจำนวน 842 คน จะปฏิบัติหน้าที่ในสถานศึกษาทั่วประเทศ 525 แห่ง ครอบคลุม 71 จังหวัด แบ่งเป็น สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 389 คน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 60 คน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 339 คน และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 54 คน โดยจะเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 ถึงเดือนมิถุนายน 2569 การจัดพิธีต้อนรับครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเฉลิมฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้เตรียมจัดกิจกรรมตลอดทั้งปี อาทิ มหกรรมการศึกษาไทย–จีน การแข่งขันพูดภาษาจีน กิจกรรมศิลปวัฒนธรรม และค่ายเยาวชน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่าง 2 ประเทศอย่างยั่งยืน ธรรมนารี ชดช้อย / ข่าว – กราฟิก ณัฐพล สุกไทย / ภาพ
พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดกรุงเทพมหานคร (กศจ.กรุงเทพมหานคร) ครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ ที่ประขุมมีมติที่สำคัญคือ อนุญาตจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยครอบครัว สังกัด สพป.กทม. จำนวน 31 ครอบครัว ผู้เรียน 33 ราย และ สพม.กท 2 จำนวน 79 ครอบครัว ผู้เรียน 86 ราย และมอบหมายให้ ศธจ.กทม. ประสานกับ ศทก.สป. ร่วมกันจัดทำฐานข้อมูลฯ ตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 12 และเชื่อมโยงฐานข้อมูลเด็กนอกระบบการศึกษา ( Thailand Zero Dropout) และรายงานความก้าวหน้าต่อ กศจ.กทม.ทุกเดือน นอกจากนี้ได้พิจารณาการเปลี่ยนชื่อสถานศึกษาในสังกัด สพป.กทม.คือ โรงเรียนวัดด่าน (หวอด ทรัพย์ คงเที่ยง อนุสรณ์) เป็นโรงเรียนวัดด่านพระราม 3 โดย ผอ.สพป.กทม. และ ผอ.รร.ได้รับรองการเปลี่ยนชื่อโรงเรียนตามชื่อวัดด่านพระราม 3 ซึ่งคณะกรรมการสถานศึกษาได้เห็นชอบแล้ว กศจ.กทม. จึงมีมติเห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อโรงเรียน จาก “ โรงเรียนวัดด่าน (หวอด ทรัพย์ คงเที่ยง อนุสรณ์)” เป็น “ โรงเรียนวัดด่านพระราม 3”
รมว.ศธ. เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 19/2568 เผย สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชาที่เกิดขึ้นอยู่ในสถานการณ์ปกติ เชื่อมั่นในการทำงานของฝ่ายรักษาความมั่นคง และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย และได้กำชับให้พื้นที่มีการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ตั้งเป้าหมายขยายผลกิจกรรมโรงเรียนพี่เลี้ยงคู่พัฒนา ให้ครอบคลุมทุกเขตพื้นที่การศึกษา ทั้งหมด 246 (245+กทม.) ภายในเดือนมิถุนายน พร้อมสนับสนุนการเข้าร่วมโครงการกับ OECD-OEC จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา โดยเฉพาะการยกระดับคุณภาพระบบการศึกษาไทยให้สามารถเทียบเคียงกับมาตรฐานสากล พร้อมจัดทำแผนและปฏิทินการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ของกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่ ครม. มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 11 มิถุนายน 2568 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 19/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ และผ่านระบบ e-Meeting ภายหลังการประชุม รมว.ศธ. พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ. นางสาวพิมพ์พร ชีวนานันท์ เลขานุการ รมว.ศธ. นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. ว่าที่ ร.ต.ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. และนายประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ สกศ. ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องแถลงข่าว รมว.ศธ.กล่าว ในมิติของการ“ดำเนินงาน แก้ไข ติดตาม ขยายผล”ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมองภาพรวมของการบริหารจัดการอย่างรอบด้านว่าได้ผลเพียงใด โดยให้ความสำคัญกับการประเมินผลอย่างเป็นระบบ หากการดำเนินงานใดที่ดีก็ให้ขยายผล ขณะเดียวกันหากพบว่ายังมีข้อบกพร่องในกระบวนการก็ต้องเร่งปรับปรุงอย่างตรงจุด เพื่อให้การพัฒนาเกิดความต่อเนื่อง สำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชาที่เกิดขึ้นนั้น กระทรวงศึกษาธิการมีความห่วงใยนักเรียนและบุคลากรทุกท่าน ซึ่งภาพรวมในขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ปกติ เชื่อมั่นในการทำงานของฝ่ายรักษาความมั่นคง และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย และได้กำชับให้พื้นที่มีการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำแผนเผชิญเหตุ การจัดสถานที่หลบภัย ตลอดจนการฝึกซ้อมตามแผนอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว เหตุการณ์ไม่สงบ หรือการก่อเหตุร้ายโดยบุคคลภายนอก พร้อมทั้งประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่อย่างใกล้ชิด “ฝากเรื่องการส่งเสริมสุขภาพร่างกายของนักเรียน ด้วยการนำ “มวยไทย” มาบูรณาการกับกิจกรรมการเรียนรู้ในโรงเรียน ซึ่งถือเป็นทั้งการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ และเป็นการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมไทยไปควบคู่กัน” สรุปสาระสำคัญจากการประชุม ดังนี้ การขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากล รมว.ศธ.กล่าวว่า สำหรับการนำชุดพัฒนาความฉลาดรู้ ควรเสริมทักษะ 3+1 ภาษา ไทย จีน อังกฤษ และดิจิทัล (AI) รวมถึงการขยายผลการดำเนินงานกิจกรรมโรงเรียนพี่เลี้ยงคู่พัฒนา ตั้งเป้าหมายขยายผลกิจกรรมให้ครอบคลุมทุกเขตพื้นที่การศึกษา ทั้งหมด 246 (245+กทม.) ภายในเดือนมิถุนายนนี้ การนำชุดพัฒนาความฉลาดรู้ ในการเสริมทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ การอ่านจับใจความ และการเชื่อมโยง โดยเฉพาะชั้น ม.3 และ ม.4 ได้รับการฝึกฝนผ่านระบบ Computer-Based Test พัฒนาความคล่องในการใช้คีย์บอร์ด ฝึกให้รู้จักอ่านโจทย์ วิเคราะห์เนื้อหา และตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างมีระบบ สำหรับการสร้างคลังข้อสอบตามแนว PISA เขตพื้นที่การศึกษาได้ร่วมมือกันรวบรวมข้อสอบ แบ่งปัน แลกเปลี่ยน และนำไปใช้จริงในห้องเรียน ทั้งในการสอบกลางภาค ปลายภาค หรือกิจกรรมการเรียนรู้ การอบรมครูและบุคลากรทางการศึกษาในรูปแบบ “เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา” (Anywhere Anytime) ผ่านระบบ On-Demand โดยมีการอบรมแบ่งออกเป็นหลายรุ่น ตั้งแต่ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ ครูแกนนำ ไปจนถึงครูผู้สอนทุกกลุ่มสาระ และมีระบบการติดตามและนิเทศอย่างต่อเนื่องทุกสองสัปดาห์ และมุ่งขยายผลสู่การคัดเลือกโรงเรียนและนักเรียนต้นแบบ เพื่อพัฒนาต่อยอดอย่างยั่งยืน โรงเรียนพี่เลี้ยง โรงเรียนวิทยาศาสตร์ และศูนย์วิทยาศาสตร์ได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ความก้าวหน้าในการเข้าร่วมโครงการกับ OECD รมว.ศธ.กล่าวว่า จากรายงานประจำปีขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD : Organisation for Economic Co-operation and Development)ที่รวบรวมข้อมูลและสถิติด้านการศึกษาจากหลายประเทศ เพื่อใช้เปรียบเทียบและวิเคราะห์ระบบการศึกษาในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านการลงทุนด้านการศึกษา อัตราการเข้าเรียนและจบการศึกษา รายได้และสถานภาพของครู และความเชื่อมโยงระหว่างการศึกษากับตลาดแรงงาน ซึ่งการเข้าร่วมโครงการกับ OECD จะเป็นประโยชน์ที่เกี่ยวกับการศึกษาในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการยกระดับคุณภาพระบบการศึกษาไทยให้สามารถเทียบเคียงกับมาตรฐานสากล การมีส่วนร่วมในโครงการนี้จะทำให้ประเทศไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างประเทศ นำไปสู่การกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี รมว.ศธ.กล่าวว่า ตามที่มติ ครม. เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 (ภายหลังการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 18/2568) เห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ภายใต้การเสนอของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวนทั้งสิ้น 15 คณะ ตามที่ ศธ. เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติเป็นต้นไป สำหรับคณะกรรมการโครงการ “หนึ่งอำเภอ หนึ่งทุน” ได้กำหนดให้มีอำนาจหน้าที่เฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโครงการฯ ที่ได้รับการขยายระยะเวลาดำเนินการแล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรี...
11 มิถุนายน 2568 – พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) แถลงข่าวกิจกรรมค่ายเยาวชนอาเขียน ประจำปี 2568 (ASEAN Youth Camp 2025) โดยมีนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ. นางสาวพิมพ์พร ชีวานันท์ เลขานุการ รมว.ศธ. ผู้บริหาร และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศธ. กล่าวว่าในฐานะที่ดำรงตำแหน่งประธานด้านการศึกษาของอาเซียน ตั้งแต่ปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ได้เล็งเห็นถึงบทบาทสำคัญของเยาวชนในฐานะพลังขับเคลื่อนที่สามารถส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศผ่านการศึกษา วัฒนธรรม และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างสร้างสรรค์มาโดยตลอด กิจกรรมค่ายเยาวชนอาเซียน ประจำปี 2568 หรือ AYC2025 ภายใต้หัวข้อ“AI แฮกกาธอนเพื่อความยั่งยืนสีเขียว”ในครั้งนี้ จึงมุ่งเน้นการบูรณาการองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในรูปแบบที่หลากหลาย ภายในงานมีกิจกรรมสร้างสรรค์มากมาย ทั้งการบรรยายให้ความรู้ การฝึกปฏิบัติผ่านกิจกรรมแฮกกาธอน การแข่งขันการพัฒนา AI และหุ่นยนต์ ด้วยเครื่องมือซีราคอร์ (CiRA Core) การศึกษาดูงานการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันสุดท้าย จะมีการจัดการแข่งขันนำเสนอผลงาน AI เพื่อความยั่งยืนสีเขียว ซึ่งจะมีการเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ ผ่าน Facebook Fanpage ศธ.360 องศา เพื่อให้สถานศึกษาและผู้ที่สนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้รับชมและร่วมเป็นกำลังใจให้กับตัวแทนเยาวชนจากประเทศต่าง ๆ เชื่อมั่นว่าค่ายเยาวชนอาเซียน ประจำปี 2568 จะเป็นเวทีสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่เยาวชน ถึงอัตลักษณ์ของอาเซียน ความร่วมมือและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในภูมิภาค ตลอดจนการปลูกฝังจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาประเทศและภูมิภาคอย่างยั่งยืนในระยะยาว สำหรับกิจกรรม “ค่ายเยาวชนอาเซียน ประจำปี 2568” หรือ AYC2025 ภายใต้หัวข้อ “AI แฮกกาธอนเพื่อความยั่งยืนสีเขียว” กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 – 20 มิถุนายน 2568 ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวม 86 คน เป็นเยาวชนจำนวน 4 คน และครู 1 คน จากประเทศสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ (ยกเว้นเมียนมา ได้แจ้งสละสิทธิ์)สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ในฐานะประเทศผู้สังเกตการณ์ รวมถึงประเทศคู่เจรจา ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น รวม 13 ประเทศ ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนประจำปี 2568 ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากหน่วยงานและภาคีเครือข่าย ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาของซีมีโอ (SEAMEO STEM-ED) องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ (MWIT) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พบพร ผดุงพล / ข่าว อินทิรา บัวลอย / ภาพ
9 มิถุนายน 2568 – พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ร่วมขับเคลื่อนโครงการ THAI Academy – Al in Education มุ่งยกระดับระบบการศึกษาไทยเข้าสู่ยุคใหม่ วางรากฐานพร้อมสร้างโอกาสการเรียนรู้ด้วย AI ให้กับคนไทยทุกช่วงวัย เพื่อส่งเสริมการปฏิรูปการศึกษาด้วยแพลตฟอร์มและเครื่องมือดิจิทัลแห่งอนาคต ณ พิพิธภัณฑ์การศึกษาไทย โถงชั้น 1 อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศธ. กล่าวว่านับเป็นก้าวสำคัญในการพลิกโฉมระบบการศึกษาไทยด้วยพลังของ AI และเทคโนโลยีจากบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) สะท้อนถึงเจตนารมณ์ที่มุ่งยกระดับคุณภาพการศึกษา ควบคู่ไปกับการลดช่องว่างและเพิ่มโอกาสทางการศึกษา เพื่อให้เด็กทุกคนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ คุณภาพ ไม่ถูกจำกัดด้วยพิกัดที่อยู่ และเด็กไทยต้องเติบโตอย่างเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ภายใต้วิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายสร้างระบบนิเวศ AI ที่เข้มแข็ง โดยมุ่งผลิตบุคลากรเฉพาะทางกว่า 30,000 คน และ พัฒนาทักษะ AI ให้ประชาชนทั่วไปกว่า 10 ล้านคนภายในปี 2570 กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดยุทธศาสตร์“3+1 ภาษา”ได้แก่ ภาษาไทย จีน อังกฤษ และ ภาษาดิจิทัล เพื่อให้เยาวชนไทยมีทักษะพร้อมสำหรับโลกอนาคต ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการยกระดับการศึกษา คือโครงการ“Anywhere Anytime”บนแพลตฟอร์ม NDLP (National Digital Learning Platform) ที่กำลังพัฒนาให้เป็น“ห้องเรียนกลางของประเทศ”เป็นระบบเรียนรู้ครบวงจรที่รองรับ ทั้งนักเรียน ครู และผู้บริหาร ด้วยเป้าหมายในการสร้างระบบการศึกษาที่เท่าเทียม ยืดหยุ่น และทันสมัยอย่างแท้จริง สำหรับในระยะแรก NDLP จะช่วยให้นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายกว่า 600,000 คนทั่วประเทศ เข้าถึง บทเรียนมาตรฐานเดียวกัน ครอบคลุมทุกกลุ่มสาระ พร้อมขยายสู่ระดับชั้นอื่นอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับ ไมโครซอฟท์ นำเนื้อหา AI และทักษะแห่งอนาคตเข้าสู่ระบบในรูปแบบ microlearning ที่เรียนง่าย ใช้เวลาสั้น แต่ต่อเนื่อง และตรงกับความสนใจของผู้เรียน เด็กไทยจะได้โอกาสการเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ตามจังหวะชีวิตและความถนัดของตนเองอย่างแท้จริง ด้วยเนื้อหาที่มีคุณภาพพร้อมรับกับโลกอนาคต ในส่วนของครูสามารถเข้าถึงบทเรียนคุณภาพและสื่อการสอนที่ครบถ้วนได้ทันที มีพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมสร้างเนื้อหาที่เหมาะสม ช่วยให้การวางแผนการสอนตอบสนองผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และผู้บริหารจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ระบบติดตามผลการเรียนแบบเรียลไทม์ การวิเคราะห์จุด ที่โรงเรียนต้องพัฒนา การอนุมัติเอกสารผ่านระบบดิจิทัล ลดงานซ้ำซ้อน และคืนเวลาให้ผู้บริหารเพื่อมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพการศึกษา ขอเน้นย้ำว่า AI in Education และ NDLP ไม่ใช่แค่การเพิ่มเทคโนโลยี แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ที่ยกระดับทั้งผู้เรียน ผู้สอน และระบบการจัดการศึกษา ให้ทันสมัย ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และตอบโจทย์อนาคต ต่อยอดองค์ความรู้ในระดับมหาวิทยาลัย ผ่านหลักสูตร AI ออนไลน์ฟรีกว่า 200 หลักสูตร เกิดเป็นระบบการศึกษาที่ไร้รอยต่อ จากโรงเรียนสู่มหาวิทยาลัยและสู่การสร้างสังคมแห่งเรียนรู้ตลอดชีวิต ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการได้รับความร่วมมือจาก Microsoft ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม NDLP ให้มีความทันสมัยและดียิ่งขึ้นเพื่อสอดรับกับการจัดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยแนวทางในการดำเนินการจะสื่อสารไปยังคุณครูและบุคลากรทางการศึกษาในการเรียนรู้และบริหารจัดการเพื่อถ่ายทอดสู่ผู้เรียน ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลและคำแนะนำอย่างใกล้ชิด สามารถนำ AI เป็นผู้ช่วยในการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับปัจจุบัน ปลัด อว. กล่าวว่าปัจจุบันเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ซับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ การพัฒนากำลังคนจึงต้องทันกับความเปลี่ยนแปลง ผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยไม่จำกัดอายุหรือสถานะทางการศึกษา ความร่วมมือในวันนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของระบบที่ทุกคนจะมีสิทธิ์เข้าถึงความรู้ใหม่ และสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้ โดย อว.ได้จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษาทั่วไปและการพัฒนาทักษะข้ามสายงานในสถาบันอุดมศึกษา (GETS) เพื่อสนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งของทรัพยากรบุคคลให้มีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพของประเทศ เป็นแพลตฟอร์มรองรับโครงการความ ร่วมมือดังกล่าวนี้ต่อไปในอนาคต กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่าวันนี้คือจุดเริ่มต้นของการวางรากฐานด้านการศึกษาที่แข็งแกร่ง โดยนำทักษะ AI มาให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ทั้งการเพิ่มทักษะภาษา การลดช่องว่างระหว่างผู้สอนและผู้เรียน รวมถึงยกระดับจากการเป็นผู้ใช้งานไปสู่ผู้สร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาศักยภาพครูด้วยทักษะ AI ตั้งแต่ระดับพื้นฐานและชั้นสูง ซึ่งในอนาคตจะมีการวางแผนระยะยาวร่วมกันเพื่อสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย เชื่อมโยงทุกวัยสู่ระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งนี้ โครงการ THAI Academy – Al in Education ได้ครอบคลุมถึงการพัฒนาทักษะ AI เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตั้งแต่ระดับประถม ศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา อาชีวศึกษา ไปจนถึงการเรียนรู้นอกระบบ นอกจากนี้ ศธ. และ อว. ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาคลังหน่วยกิตกลาง หรือ National Credit Bank System ซึ่งจะเป็นระบบที่รวบรวมผลการเรียนรู้ในทุกช่วงวัยเข้าสู่ฐานข้อมูลเดียว และยังมีแอปพลิเคชันพอร์ตโฟลิโอ ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถวางแผนเส้นทางการศึกษาและอาชีพของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาจึงไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในห้องเรียนหรือกรอบของอายุอีกต่อไป แต่จะเป็นระบบที่เชื่อมโยงการเรียนรู้กับโอกาสการทำงานในอนาคตอย่างเป็นรูปธรรม พบพร...
4 มิถุนายน 2568 – พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามในหนังสือถึงหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดและองค์กรในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ กำชับให้ข้าราชการและบุคลากร ถือปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยรถราชการ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ตามที่ปรากฏทางสื่อสังคมออนไลน์กรณีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติชี้มูลความผิดข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เกี่ยวกับการนำรถยนต์ราชการไปใช้ในการปฏิบัติราชการในตำแหน่งหน้าที่และใช้เดินทางไป – กลับ ระหว่างที่พักกับสำนักงาน เสมือนว่าเป็นรถประจำตำแหน่ง และเบิกจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงจากราชการ โดยมีมูลความผิดทางอาญาและทางวินัยอย่างร้ายแรง จึงให้หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดและองค์กรในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจง กำชับ และควบคุม กำกับ ดูแล บุคลากรในสังกัดให้ถือปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยรถราชการอย่างเคร่งครัด พบพร ผดุงพล / ข่าว ธรรมนารี ชดช้อย / กราฟิก
รมว.ศธ. “เพิ่มพูน” เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 18/2568 เน้นย้ำการขับเคลื่อนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ผ่านการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยสู่มาตรฐานสากล โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมรับการประเมิน PISA และ O-NET พร้อมเน้นย้ำการใช้ทรัพยากรและงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน พร้อมเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมมือกันเป็น “ทีมสนับสนุน” เพื่อให้นักเรียนไทยเติบโตเป็นผู้ “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” อย่างรอบด้าน พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานกิจกรรมโรงเรียนพี่เลี้ยงคู่พัฒนา เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง เตรียมพร้อมการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ณ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ในการเตรียมข้อมูล ข้อเสนอ และผลการดำเนินงานที่สำคัญในมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย 4 มิถุนายน 2568 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 18/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ และผ่านระบบ e-Meeting ภายหลังการประชุม รมว.ศธ. พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ. นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ. นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. ว่าที่ ร.ต.ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. นายประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ สกศ. และนายวิทวัต ปัญจมะวัต รองเลขาธิการ กอศ. แถลงข่าว ณ ห้องแถลงข่าว รมว.ศธ.กล่าวว่า การสื่อสารนโยบาย“เรียนดี มีความสุข”ขอให้ขับเคลื่อนการดำเนินงานต่อไป เพื่อให้ผู้เรียน“ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ”ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด หมั่นฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ“ดั่งมีดที่คม ต้องมีการหมั่นลับคมอยู่เสมอ”ความรู้ก็เช่นเดียวกัน เพื่อเป้าหมายของพวกเราคือความเจริญก้าวหน้าของ“ประเทศชาติ”เป็นสำคัญ ภาพรวมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 (วาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ) เมื่อวันที่ 28 – 31 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้มีการอภิปรายและพิจารณาในหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะในด้านความเหลื่อมล้ำและคุณภาพการศึกษา หลักสูตรการศึกษาครูและบุคลากรทางการศึกษา อาชีวศึกษา การทุจริตคอร์รัปชัน การใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และประเด็นอื่น ๆ ซึ่งผลการลงมติที่ประชุมมีมติรับร่างหลักการตามพระราชบัญญัติงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยกระทรวงศึกษาธิการจะได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการตามนโยบายและแผนงานที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ ในขั้นตอนถัดไป ศธ. จะต้องดำเนินการวางแผนงานและเตรียมความพร้อมสำหรับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ ในวาระที่ 2 จะเป็นการพิจารณารายละเอียดของงบประมาณในระดับรายจ่ายแผนงาน/โครงการ ฝากไปยังหน่วยงานในสังกัดทุกแห่งให้เร่งดำเนินการจัดเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ถูกต้อง และพร้อมสำหรับการนำเสนอ รวมถึงเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุด “อีกประการหนึ่งที่สำคัญ ในขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสภาพอากาศที่มีความแปรปรวน รวมถึงยังคงมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในบางพื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะในสถานศึกษา จึงขอให้ทุกคน หมั่นดูแลรักษาสุขภาพของตนเองและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน” สรุปสาระสำคัญจากการประชุม ดังนี้ การขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากล PISA รมว.ศธ.กล่าวว่า มิติของการดำเนินการตามแผนงานต่าง ๆ ขอให้“สร้างเครือข่าย ขยายความร่วมมือ และการสื่อสารกันอย่างใกล้ชิด”ระหว่างเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมของนักเรียนไทยสู่การประเมิน PISA ที่จะมาถึงนี้ ทั้งนี้ในปีการศึกษา 2568 มุ่งเน้นแนวทางการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพ 3 ด้าน สู่เด็กไทย “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” เสริมทักษะเพื่อการอ่านจับประเด็น ตีความ สะท้อนความคิด สู่การพัฒนากระบวนการคิดผ่านวิทยาศาสตร์ เพื่อประยุกต์ใช้กระบวนการคณิตศาสตร์สู่การแก้ปัญหา และสำหรับผลการดำเนินงานกิจกรรมโรงเรียนพี่เลี้ยงคู่พัฒนา เป็นการยกระดับควบคู่กัน ผ่านรูปแบบแพลตฟอร์ม การใช้ทรัพยากรในโรงเรียน การนำนักเรียนมาฝึกปฏิบัติ และการประชุมแลกเปลี่ยนทั้ง Onlineและ On site มีเป้าหมายการดำเนินการใน 246 (245+กทม.) เขตพื้นที่การศึกษา 29,082 โรงเรียน ในขณะนี้ดำเนินการไปแล้ว ใน 87 เขตพื้นที่ 187 โรงเรียน ในระยะต่อไปจะมีการให้โรงเรียนพี่เลี้ยง คือ โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย 12 แห่ง โรงเรียนประจำจังหวัดที่มีศักยภาพสูง เพื่อขยายผลไปยังโรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนขยายโอกาสฯ โรงเรียนมัธยมขนาดเล็กและขนาดกลาง และโรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ที่ยังขาดทักษะรายวิชาเอก ให้มีการพัฒนาควบคู่กันเพื่อประสิทธิภาพทางการศึกษาของนักเรียนทุกแห่ง ซึ่งสิ่งที่ได้จากการจัดกิจกรรมจะมีการบริหารจัดการหลักสูตรและโครงสร้าง ครูมีเทคนิคการสอนและการเติมเต็มสมรรถนะความฉลาดรู้ของนักเรียน มีรูปแบบการเป็นโค้ดในการฝึกระบบคอมพิวเตอร์ มีแหล่งทรัพยากรและบุคลากรที่สามารถใช้ร่วมกันและประสานความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพ วิธีการบริหารจัดการคุณภาพห้องเรียนและการจัดการการเรียนรู้สื่อสาร 2 ทาง สำหรับแผนการดำเนินงานยกระดับของนักเรียนโรงเรียนกลุ่มเป้าหมายและนักเรียนทุกคนในปีการศึกษา 2568 มีกิจกรรมที่สำคัญคือการสอบ PRE PISA ม.2 ซึ่งจะเป็นการสอบประเภทการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ การสอบ O-NET ม.3 ในวิชาภาษาไทยวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ กิจกรรมปิดเทอมใหญ่ซึ่งจะมีแผนการดำเนินงานในการให้นักเรียนมีการค้นคืนสาระ หรือการที่นักเรียนได้นำประสบการณ์หรือความรู้ที่ได้จากกิจกรรมในช่วงปิดภาคเรียนมาทบทวน...
3 มิถุนายน 2568 นับเป็นวันสำคัญยิ่งของปวงพสกนิกรชาวไทย เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 47 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระวิริยอุตสาหะและพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการส่งเสริมการศึกษา ทรงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาเยาวชนและการส่งเสริมทักษะอาชีพ ตลอดระยะเวลาที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกายและพระราชหฤทัยในการสนับสนุนกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะชีวิต และการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนไทย ให้สามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และมีคุณภาพ พระราชจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ สะท้อนถึงพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยเมตตา ความห่วงใย และความใส่ใจต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ทรงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาทุนมนุษย์ ด้วยพระราชปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเห็นประชาชนไทยมีความรู้ คู่คุณธรรม และสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี เปี่ยมด้วยคุณภาพ และความดีงามอย่างยั่งยืน กระทรวงศึกษาการได้น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ เริ่มต้นเวลา 06.09 น. พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางสาวพิมพ์พร ชีวานันท์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรในสังกัดประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ พิธีทำบุญตักบาตรเพื่อถวายพระราชกุศล เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และแสดงพลังแห่งความสมัครสมานสามัคคีของชาวกระทรวงศึกษาธิการ ณ ห้องประชุมบุณยเกตุ หอประชุมคุรุสภา โดยในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ รมว.ศธ. เป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เปิดกรวยกระทงดอกไม้ ถวายสักการะหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ถวายผ้าไตร และจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร จำนวน 10 รูปจากนั้น รมว.ศธ. นำผู้บริหาร ข้าราชการ บุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวคำถวายพระพรชัยมงคลความว่า “ขอพระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้า พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่มาร่วมชุมนุม พร้อมเพรียงกัน ณ ที่นี้ ล้วนมีความปลาบปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาร่วมกันแสดงความจงรักภักดี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่ได้เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ ปฏิบัติงานถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยพระราชวิริยอุตสาหะและความจงรักภักดี เป็นที่ประจักษ์แก่ผองพสกนิกร ในโอกาสอันเป็นมงคลยิ่งนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออานุภาพแห่งพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล ปกอภิบาลประทานพรให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เจริญด้วยจตุรพิธพรพิพัฒน์ สวัสดิมงคล พระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญสถิตเป็นมิ่งขวัญ แห่งปวงประชาสถาพรตราบกาลนาน“ ภายหลังจากกล่าวบังคมทูลถวายพระพรเสร็จสิ้น รมว.ศธ. นำผู้บริหาร ข้าราชการ บุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกันร้องเพลง “สรรเสริญพระบารมี” และเพลง “สดุดีจอมราชา” จากนั้นร่วมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร 48 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลฯ เป็นอันเสร็จสิ้นกิจกรรมฯ ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ได้เข้าร่วมกิจกรรมตามหมายกำหนดการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี พุทธศักราช 2568 และกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ตามที่รัฐบาลกำหนด ในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 โดยมีคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ บุคลากรในสังกัด ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าร่วม ประกอบด้วย เวลา 07.30 น. พิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ณ บริเวณท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร ในส่วนภูมิภาค หน่วยงานราชการในแต่ละจังหวัดได้ร่วมกันจัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร ณ สถานที่ที่เหมาะสม เวลา 08.00 น. พิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง และในส่วนภูมิภาค ณ สถานที่ตามความเหมาะสม ในส่วนภูมิภาค หน่วยงานราชการระดับจังหวัดได้จัดพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล ณ สถานที่ราชการที่เหมาะสม เวลา 17.00 น. ร่วมเข้าเฝ้าฯ ตามหมายกำหนดการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช 2568 โดยในโอกาสอันเป็นมหามงคลนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ไปในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง เวลา 17.30 น. พิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม ณ บริเวณท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร ในส่วนภูมิภาค หน่วยงานราชการระดับจังหวัดได้จัดพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม ณ สถานที่ราชการที่เหมาะสม เวลา 19.19 น. พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร ในส่วนภูมิภาค หน่วยงานราชการระดับจังหวัดได้จัดพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ สถานที่ราชการที่เหมาะสม ในโอกาสอันเป็นมหามงคลนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2568 ผ่านระบบออนไลน์ ได้ที่เว็บไซต์กระทรวงศึกษาธิการhttps://www.moe.go.th/wellwishes/ อานนท์ วิชานนท์...
1มิถุนายน2568–พลตำรวจเอกเพิ่มพูนชิดชอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในฐานะประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติเป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมบุคลากรทางการลูกเสือขั้นผู้ช่วยหัวหน้าผู้ให้การฝึกอบรมผู้กำกับลูกเสือ(A.L.T.C.)รุ่นที่995พร้อมบรรยายพิเศษหัวข้อ“นโยบายด้านการพัฒนากิจกรรมลูกเสือเนตรนารี”โดยมีนายสุรศักดิ์พันธ์เจริญวรกุลรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วมฝึกอบรมณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิศูนย์พระนครศรีอยุธยาหันตราจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รมว.ศธ.กล่าวในตอนหนึ่งว่านโยบายขับเคลื่อนการศึกษา“เรียนดีมีความสุข”ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนกิจกรรมลูกเสือจนเป็นที่มาของกิจกรรมลูกเสือช่วยเหลือผู้อื่นทุกเมื่อ“ทำดีทำได้ทำทันที”ภายใต้แนวคิด“เด็กคิดเด็กทำเด็กนำผู้ใหญ่สนับสนุน”โดยการนำขบวนการลูกเสือ(Scout Movement)หรือการลูกเสือซึ่งเป็นการร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อส่งเสริมสนับสนุนและสร้างสรรค์ให้เกิด“พลังของเด็กเยาวชนและคนหนุ่มสาว”ให้มีอุปนิสัยติดตัวคือซื่อสัตย์รับผิดชอบมีน้ำใจด้วยวิธีการลูกเสือซึ่งต้องตอบสนองความต้องการและความสนใจตามช่วงวัยมุ่งพัฒนาฝึกฝนและบ่มเพาะให้เด็กเยาวชนมีความรู้ทักษะเจตคติและคุณลักษณะที่ดีซึ่งทุกท่านที่เข้ามาฝึกอบรมครั้งนี้จะเป็นบุคลากรที่เป็นกำลังสำคัญของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนากิจการลูกเสือให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนและเยาวชนของชาติให้มี“ความซื่อสัตย์รับผิดชอบและมีน้ำใจ”อย่างแท้จริงต่อไป สำหรับการฝึกอบรมบุคลากรทางการลูกเสือขั้นผู้ช่วยหัวหน้าผู้ให้การฝึกอบรมผู้กำกับลูกเสือ(A.L.T.C.)รุ่นที่995จัดขึ้นหว่างวันที่1-7มิถุนายน2568เพื่อให้การดำเนินกิจการลูกเสือเป็นไปตามยุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากรทางการลูกเสือรองรับและพัฒนาศักยภาพให้สามารถจัดกิจกรรมพัฒนาเยาวชนโดยผ่านกระบวนการลูกเสือได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้นรวมถึงให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์เพิ่มพูนความรู้ทักษะในการฝึกอบรมขั้นผู้ช่วยหัวหน้าผู้ให้การฝึกอบรมผู้กำกับลูกเสือตามแนวทางของสำนักงานลูกเสือโลกพร้อมรองรับการทำหน้าที่ผู้อำนวยการฝึกอบรมผู้กำกับลูกเสือขั้นความรู้เบื้องต้น(B.T.C.)หรือเป็นวิทยากรให้การฝึกอบรมผู้กำกับลูกเสือ ทั้งนี้ดร.วรัทพฤกษาทวีกุลรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติกล่าวรายงานและมีผู้บริหารทางการศึกษาเข้าร่วมเป็นเกียรติอาทิดร.สุภชัยจันปุ่มผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการทำหน้าที่รองเลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติดร.วันเพ็ญบุรีสูงเนินผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการทำหน้าที่ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาตินางกัลยามาลัยผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยาเขต1ทำหน้าที่หัวหน้าสำนักงานลูกเสือจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในการฝึกอบรมครั้งนี้นายคงวุฒิ ไพบูลย์ศิลปกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาลูกเสือไทยผู้ตรวจการลูกเสือประจำสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการฝึกอบรมเข้าร่วม พบพรผดุงพล/ข่าว,กราฟิก
30 พฤษภาคม 2568 – พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุลรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ณ อาคารรัฐสภา ในส่วนของการจัดสรรงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบกล่าวในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า กระทรวงศึกษาธิการได้นํานโยบายของรัฐบาลภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” ไปดําเนินการขับเคลื่อน โดยประกาศนโยบายการศึกษา“เรียนดี มีความสุข”เพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา การลดภาระนักเรียน และผู้ปกครอง มุ่งสู่ความ “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทํา” ภายใต้แนวทางการทํางาน“จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” สิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการจะต้องดําเนินการเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 โดยงบประมาณในปี 2567-2569 ได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้น แต่โครงสร้างงบประมาณปี 2569 จํานวน 355,108.4475 ล้านบาท (สามแสนห้าหมื่นห้าพันล้านบาทเศษ) ส่วนใหญ่เป็นงบบุคลากร 61.47% ส่วนที่เหลือเป็นงบเงินอุดหนุน 27.27% งบดําเนินงาน 3.87% งบลงทุน 3.83% และงบรายจ่ายอื่น 3.56% หากเจาะลึกลงไป จะเห็นได้ว่า งบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 จํานวน 4.21% เป็นเงิน 14,333.8758 (หนึ่งหมื่นสี่พันสามร้อยสามสิบสามล้านบาทเศษ) 75 % เป็นงบเกี่ยวกับบุคลากร ที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากการปรับเงินเดือน 3% จาก 15,000 บาท เป็น 18,000 บาท และการสนับสนุนงบเงินอุดหนุน ได้รับเพิ่มขึ้นจากการปรับงบประมาณเงินอุดหนุนแบบขั้นบันได มีส่วนงบในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนรวมกันเพียง 25 % ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ได้เสนอคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จํานวนประมาณ สี่แสนสี่หมื่นล้านบาท (439,703.1856 ล้านบาท) แต่ได้รับการจัดสรรตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพียงสามแสนห้าหมื่นล้านบาทเศษ (355,108.4775) โดยงบดําเนินงาน ถูกปรับลดลงมากกว่าร้อยละ 52 งบลงทุน ถูกปรับ ลดลงมากกว่าร้อยละ74 และงบรายจ่ายอื่น ถูกปรับลดลงร้อยละ 39 ซึ่งงบประมาณในส่วนนี้ หากได้รับการจัดสรรเพิ่มเติม จะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้น Screenshot และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการจัดอันดับตัวชี้วัดงบประมาณรวมด้านการศึกษาต่อจํานวนประชากร ในปี 2023 (IMD 2023) ประเทศไทย อยู่อันดับที่ 57 ของประเทศที่เข้ารับการจัดลําดับจํานวน 67 ประเทศ และหากเปรียบเทียบกับกลุ่มภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 10 ของกลุ่มจํานวน 14 ประเทศ ซึ่งถือว่าประเทศไทยยังได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษายังน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้เชื่อมั่นว่า กระทรวงศึกษาธิการ จะมุ่งมั่นตั้งใจแก้ปัญหาความท้าทายใหม่ ๆ ตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ภายใต้งบประมาณที่ได้รับอย่างจํากัดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และจะเดินหน้าขับเคลื่อนการเรียนรู้แบบ3 + 1 คือเรียนรู้ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และเพิ่มทักษะดิจิทัล หรือ AIส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัย ส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และอนาคตของลูกหลานพวกเราทุกคน ให้ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทํา นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ.ชี้แจงประเด็นที่ถูกอภิปราย ดังนี้ การพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้าฯ องค์การค้าของ สกสค. ได้โอนจากคุรุสภามาให้ สกสค.ดูแลตั้งแต่ปี 2558 โดยให้โอนทรัพย์สินดูแลในส่วนที่กำกับ เพื่อดำเนินการจัดพิมพ์ตำราเรียน สื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งตั้งแต่โอนมาไม่เคยได้รับงบประมาณแผ่นดิน เนื่องจากในการของบประมาณทุกครั้งถูกตัดมาโดยตลอด จึงทำให้ปีงบประมาณ 2569 ไม่ได้ของบประมาณในส่วนนี้ องค์การค้าฯ มีภารกิจที่สำคัญในการจัดพิมพ์แบบเรียนตั้งแต่ปี 2546 โดยหลังจากที่องค์การค้าฯ อยู่ภายใต้กำกับของ สกสค.ตาม พ.ร.บ.ครูฯ ได้ใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างหนังสือแบบเรียนด้วยงบประมาณขององค์การค้าฯ เอง ไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลแม้แต่บาทเดียวและหนังสือแบบเรียนขององค์การค้าฯ เมื่อเทียบกับสำนักพิมพ์เอกชนหน้าเทียบราคาหน้าต่อหน้า ถือว่าราคาถูกที่สุด เพราะฉะนั้นในการจัดซื้อจัดจ้างแม้จะไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุน แต่ยังต้องอยู่ภายใต้ระเบียบการคลังปี 2560 ซึ่ง รมว.ศธ.ได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานเรื่องบริหารจัดการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่องค์การค้าฯ เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการจัดพิมพ์หนังสือเรียน ให้ดำเนินการให้ทันก่อนเปิดภาคเรียนทุกครั้ง เพราะฉะนั้นการจัดซื้อจัดจ้างต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ โปร่งใสตามระเบียบ ยุติธรรม รวดเร็ว ตามระเบียบทุกวิธีการให้มีหนังสือเรียนได้ทันเปิดภาคเรียนทุกปี ให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญและติดตามอย่างใกล้ชิดทุกครั้ง การจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนปี 2568 ของ สพฐ. หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568 และหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2568ที่ประกาศใช้ในปีนี้ ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กพฐ. ที่มี ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธาน รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิหลายฝ่ายที่ร่วมประเมินผลในการทำหลักสูตรใหม่ เพราะฉะนั้นที่เข้าใจว่าทำแบบลวก ๆ ขอแจ้งว่าเราได้ใช้เวลาถึง 5 เดือนในการปรับปรุงหลักสูตรดังกล่าว และขอเน้นย้ำว่าหลักสูตรทำอย่างรอบคอบจากการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนโดยเป็นการนำหลักสูตรฐานสมรรถนะเดิมที่เริ่มทดลองใช้ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 8 จังหวัด 184...
28 พฤษภาคม 2568 – นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงความห่วงใยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต่อสถานการณ์เหตุปะทะชายแดนบริเวณช่องบกไทย – กัมพูชา อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี สั่งเข้มเขตพื้นที่ฯ เตรียมพร้อมมาตรการรับมือความไม่ปลอดภัย พร้อมให้สิทธิ ผอ.สั่งปิดโรงเรียนทันที ไม่ต้องรอคำสั่งส่วนกลาง โฆษก ศธ. กล่าวว่าจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนช่องบกระหว่างไทยกับกัมพูชา พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งต่อความรุนแรงที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของ ครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา ในพื้นที่ จึงได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขอเน้นย้ำไปยังสถานศึกษาที่อยู่บริเวณแนวชายแดน ประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง หากเกิดเหตุฉุกเฉินที่เกินกำลังจะรับได้ให้รีบแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทันที เพื่อรายงานความเสียหายกลับมายังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยด่วน รวมถึงเตรียมแผนรองรับการเรียนการสอนทางเลือก เช่น การเรียนออนไลน์ หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ เพื่อไม่ให้การเรียนรู้ของผู้เรียนต้องสะดุด “ความปลอดภัยของผู้เรียนและครูต้องมาก่อน หากพบว่าพื้นที่มีความสุ่มเสี่ยงต่ออันตราย ผู้อำนวยการโรงเรียนสามารถสั่งหยุดเรียนได้ตามอำนาจของท่านได้ทันที โดยไม่ต้องขออนุมัติจากส่วนกลาง ขอส่งกำลังใจให้กับนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่เสี่ยง เราจะร่วมกันดูแลความปลอดภัยให้ดีที่สุด” โฆษก ศธ. กล่าว พบพร ผดุงพล / ข่าว ธรรมนารี ชดช้อย / กราฟิก
รมว.ศธ. “เพิ่มพูน” เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 17/2568 ติดตามการทำงานในทุกมิติ ย้ำให้ทุกหน่วยงาน บูรณาการการทำงาน วางมาตรการ กำกับดูแล ให้สถานศึกษามีความปลอดภัยในทุกมิติ เฝ้าระวังป้องกันภัยจากเหตุความรุนแรง ยาเสพติด บุหรี่ไฟฟ้า ภัยจากธรรมชาติ มีความความโปร่งใสในการบริหารงาน รวมทั้งดูแล “คุณภาพ” ด้านโภชนาการ อาหารกลางวันและนมโรงเรียน 28 พฤษภาคม 2568 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการและโฆษกกระทรวงศึกษาธิการร่วมแถลงข่าวผลการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 17/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ และผ่านระบบe-Meeting รมว.ศธ.กล่าวว่าที่ประชุมขอให้ทุกภาคส่วนเร่งติดตามการทำงานในทุกมิติการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติการ การเตรียมความพร้อมในช่วงเปิดเทอม เน้นพัฒนาสถานศึกษาสีขาว ขับเคลื่อนแก้ปัญหาเด็กหลุดออกนอกระบบให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout)ดูแลโภชนาการ อาหารกลางวัน และนมโรงเรียน สรุปดังนี้ สรุปผลการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายผู้แทนกระทรวงเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมให้มีการขับเคลื่อนการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัด คู่ขนานกับ ผกก.จังหวัด,นายอำเภอ คู่ขนานกับ ผกก.อำเภอ และสถานศึกษาบูรณาการกับทุกหน่วยงาน รวมทั้งกำหนดแนวทางการทำงาน คือ ฝ่ายปกครอง : ให้มีมาตรการจัดทำให้เป็นพื้นที่จังหวัดสีขาว (ไม่มีผู้ค้ายาเสพติด),ฝ่ายการศึกษา : ให้เน้นการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นตั้งแต่ระดับปฐมวัย และให้เป็นKPIในการปฏิบัติงานของผู้บริหารทุกระดับด้วย โดย รมว.ศธ. มอบ สพฐ. เป็นหลักในการดูแลนักเรียนเรื่องนี้ และ สป. ร่วมดำเนินการ เรื่องยาเสพติด รวมทั้งเน้นย้ำป้องกันมาตรการต่างๆ ไม่ให้มีการทำร้ายกันในสถานศึกษา และการป้องกันเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นสินค้าต้องห้าม บุคคลที่มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในความครอบครองถือว่ามีความผิด การขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากลสพฐ. ในการจัดกิจกรรมปิดเทอมใหญ่ เด็กไทย “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ”ได้นำคำถามมาวิเคราะห์และออกข้อเสนอเกี่ยวกับประเด็นการพัฒนา นำผลการวิเคราะห์ส่งต่อสู่ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารการศึกษา และผู้บริหารโรงเรียนในพื้นที่ เพื่อเติมเต็มนักเรียนกลุ่มที่ตอบคำถามผิด (ส่วนใหญ่มาจากบางคนใช้มือถือตอบคำถาม ทำให้อ่านโจทย์ไม่ถนัดเพราะตัวหนังสือเล็กเกินไป, ไม่มีคุณครูช่วยกำกับดูแล) อาทิการฝึกทักษะการอ่าน เพื่อตีความจากบทอ่าน ที่มีบริบทหลากหลาย,ฝึกวิเคราะห์ลักษณะของบทอ่านเชื่อมโยงกับข้อคำถาม จะนำไปสู่การค้นหาคำตอบที่ถูกต้อง,ครูควรมีคำถามเสริมเพื่อยกระดับการคิดของนักเรียน,ควรให้นักเรียนมีสมาธิในการอ่านเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น สสวท. ร่วมกับ สพฐ. เผยแพร่ชุดพัฒนาความฉลาดรู้ สสวท. ร่วมกับ สพฐ.ดำเนินการจัดทำและเผยแพร่ชุดพัฒนาความฉลาดรู้ฉบับปรับปรุงปี 2568จำนวน 17 เล่ม 3 โดเมน ประกอบด้วย การอ่าน 5 เล่ม, วิทยาศาสตร์ 6 เล่ม และคณิตศาสตร์ 6 เล่ม สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์:https://d2ieq.ipst.ac.thการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา การดำเนินการขับเคลื่อนในระดับเขตพื้นที่ฯ โดยได้ดำเนินการขับเคลื่อนในระดับเขตพื้นที่การศึกษา แก้ไขปัญหาด้านการอ่านยาว(หมายถึง เด็กที่มีสมาธิการอ่านแค่ไม่กี่บรรทัด)สำหรับเด็ก ฝึกให้ข้อสอบมีการอ่านยาวขึ้นและเน้นการคิดวิเคราะห์ โดยตัวอย่างผลการดำเนินการขับเคลื่อนในระดับเขตพื้นที่กรณีศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1ซึ่งได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการต่อยอดขยายผลการสร้างข้อสอบวัดความฉลาดรู้ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์(PISA)เพื่อพัฒนาคลังข้อสอบ วัดความฉลาดรู้ และคัดเลือกข้อสอบที่มีคุณภาพเพื่อเป็นต้นแบบของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาด้วย ประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักเรียนระดับชั้น ม. 2 – 4 และผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “เพิ่มพูน สมรรถนะความฉลาดรู้” สพฐ.ประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักเรียนระดับชั้น ม. 2 – 4 และผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “เพิ่มพูน สมรรถนะความฉลาดรู้”ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ในสัปดาห์ที่ 2 วันที่ 28-30 พ.ค.2568 เวลา 14.40–15.30 น.ซึ่งได้รับความร่วมมือวิทยากรจากครูโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ประจำจังหวัดต่าง ๆ โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านOBEC Channel สกศ. รายงานการพัฒนาระบบการศึกษาภายใต้หลักการแนวคิดEducation Benchmarking ซึ่งเป็นการพัฒนาในรูปแบบการเปรียบเทียบการศึกษาไทยให้เทียบเท่าในระดับสากล ที่เน้นเป้าหมายและจุดที่ต้องการไปให้ถึง มากกว่าการจัดอันดับ(Ranking)เน้นการพัฒนาในเชิงคุณภาพ ปริมาณและเน้นการวิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็ง มากกว่าการพัฒนาอันดับโดยแบ่งการเปรียบเทียบได้5มิติคือ คุณภาพผู้เรียน(Quality)ใช้ผลการทดสอบPISAวิชาคณิตศาสตร์เป็นตัวชี้วัด(ที่มา:OECD) การเข้าถึงระบบการศึกษา(Access)ใช้อัตราการเข้าเรียนสุทธิระดับมัธยมศึกษาเป็นตัวชี้วัด(ที่มา:IMD) ความเท่าเทียมทางการศึกษา(Equity)ใช้ปีการศึกษาที่คาดหวังเป็นตัวชี้วัด ประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา(Efficiency) ใช้ตัวชี้วัดสัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา(%GDP)ต่อคะแนนเฉลี่ยการทดสอบPISAเป็นตัวชี้วัด(ที่มา:IMDและOECDคำนวณโดยสกศ.) การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง(Relevancy)ใช้สัดส่วนของประชากร อายุ25 -34ปีที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นตัวชี้วัด(ที่มา:IMD) โดยเปรียบเทียบภาพรวมของการศึกษาไทยในระดับโลก ระดับเอเชีย (ไทยมีความใกล้เคียงกับสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และระดับอาเซียน (ไทย ใกล้เคียงกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย สำหรับลำดับรองลงมา คือ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม) ซึ่งจากข้อมูลทำให้เห็นว่า “การศึกษาไทยมีศักยภาพเพียงพอ ที่จะเทียบเคียงกับระดับนานาชาติได้” รายงานผลการเบิกจ่ายและผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ภาพรวมของการเบิกจ่ายฯ ขณะนี้คิดเป็นร้อยละ 67.66 และภาพรวมการใช้จ่าย ร้อยละ 73.67เมื่อเทียบภาพรวมผลการเบิกจ่ายและการใช้จ่าย ปัจจุบันยังต่ำกว่าเป้าหมายประมาณร้อยละ 2 ข้อสั่งการจาก รมว.ศธ. มอบผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และศึกษาธิการภาค ให้ลงพื้นที่ตรวจสอบ กำกับติดตามการทำงานแบบบูรณาการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยให้ทุกภาคส่วนเร่งดำเนินการในแต่ละด้าน ช่วยกันระดมความคิดเพื่อบริหารจัดการและพัฒนาให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ พร้อมมอบหมาย สกศ....
26 พฤษภาคม 2568 – พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับคณะผู้ช่วยรัฐมนตรี ในโอกาสประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 4/2568 โดยมี พลตำรวจตรี สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมเป็นประธานการประชุม ณ ห้องราชวัลลภ ชั้น 2 อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ กล่าวว่าวันนี้คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีมาประชุมรับทราบความคืบหน้าของการดำเนินการนโยบายตามข้อสั่งการของรัฐบาลในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ขับเคลื่อนติดตามข้อเสนอแนวทางการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลการในประเด็นการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) จากผลการสำรวจเด็กอายุ 6 – 15 ปี ที่อยู่ในการศึกษาภาคบังคับ มีทั้งเด็กสัญชาติไทย 767,304 คน ค้นพบตัวเด็กแล้ว 741,499 คน คิดเป็น 96% และยังหาตัวไม่พบ 25,000 คน และในส่วนของเด็กต่างชาติ (เด็กหรัส G) ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ดำเนินการ “ติดตาม แก้ไข ส่งต่อ ป้องกัน” ซึ่งได้รับรายงานว่ามีเด็กกลับมาสู่ระบบแล้ว 4 แสนกว่าคน โดยปัจจัยที่เด็กหลุดออกจากระบบมีหลายกรณี อาทิ ศึกษาต่อต่างประเทศ ถูกจับกุมคุมขัง หรืออยู่ในระบบอื่น เช่น บวชเณร แต่เป้าหมายสูงสุดที่ตั้งไว้คือตามเด็กกลับมาเรียนให้ได้มากที่สุด และเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนอย่างทั่วถึงตามหลักสิทธิมนุษยชน อีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาสู่ระดับสากล โดยยกระดับคุณภาพการศึกษา PISA ด้วยการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมเด็กเพื่อรองรับการสอบ PISA ที่จะมีการจัดขึ้นในปีนี้ โดยได้มีการปรับรูปแบบการสอนที่ตอนนี้ สำนักงานคณณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มีการขยายผลการอบรมอบรมผู้บริหาร ครู และศึกษานิเทศก์ ในการสร้างและพัฒนาข้อสอบแนว PISA ในรูปแบบออนไลน์ ปรับรูปแบบการสอนและทำแบบทดสอบเชิงคิดวิเคราะห์มากขึ้น เพื่อให้นำไปปรับสู่การเรียนการสอนของเด็ก ขณะนี้ได้อบรมคุณครูเสร็จสิ้น 445,624 รายแล้ว นอกจากนี้แล้วยังมีการส่งเสริมการเรียนรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในสถานศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ รมว.ศธ.ให้ความสำคัญ โดยให้นโยบายว่า AI มีส่วนในการช่วยทั้งครูและผู้เรียน คือช่วยในการทำหลักสูตร จัดเรียบเรียงเนื้อหาที่เหมาะสมสำหรับเด็กตามทักษะความถนัด ช่วยในการวางแผนการสอนและติดตามการเรียน ช่วยในการประเมินผู้เรียน ซึ่ง AI จะช่วยสะท้อนมายังคุณครูได้ ในส่วนของเด็ก AI จะช่วยให้เด็กมีแบบทดสอบที่เป็นไปตามระดับความสามารถในการเรียนรู้มากขึ้น ตอนนี้เด็กกับครูต้องรู้เท่ากัน และเมื่อผู้เรียนและผู้สอนนำมาใช้จะทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งตอนนี้ ศธ.ได้ประกาศคู่มือการใช้ AI หรือ AI Guideline ตั้งแต่วันเด็กแห่งชาติที่ผ่านมา และยังมีความร่วมมือกับภาคเอกชนในการทำหลักสูตร AI โดยในปีนี้ได้มีการอบรมคุณครูนำร่องที่เรียบร้อยแล้ว คาดการณ์ว่าจะขยายผลได้ในเวลารวดเร็ว และกำลังเตรียมที่จะบรรจุวิชา AI เข้ากับหลักสูตร ม.ต้น และ ม.ปลาย ให้ครูและนักเรียนได้นำไปปรับใช้ไปตามบริบทที่มีความพร้อมก่อน ส่วนประเด็นธนาคารหน่วยกิต หรือ Credit Bankปัจจุบันนี้ได้พัฒนารูปแบบของธนาคารหน่วยกิตให้กว้างขึ้น โดยผู้เรียนสามารถเรียนล่วงหน้าได้ และนำความรู้ที่ได้ใช้เป็นหน่วยกิตในการเรียนในระดับที่สูงขึ้น ลดเวลาเรียนได้ หลายวิชาที่เป็นวิชาใหม่ที่มีการเรียนการสอนและทำเป็นหลักสูตรสามารถเปลี่ยนเป็นหน่วยกิตไปใช้ในระดับอุดมศึกษาได้ ซึ่งในปีนี้ธนาคารหน่วยกิตจะเป็นโครงการนำร่องในปีแรก นอกจากนี้ความคืบหน้าของ สกร.หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ กศน. เดิม ได้นำการสอบเทียบกลับมาใช้ เพราะพฤติกรรมของผู้เรียนเปลี่ยนไปจึงพิจารณาเรื่องการสอบเทียบกลับมาใช้ใหม่เพื่อตอบโจทย์ผู้เรียน ทั้งนี้ รมว.ศธ. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเพิ่มเติมว่า วันนี้ได้มีการพูดคุยกันในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาด้านต่าง ๆ ซึ่งผู้ช่วยรัฐมนตรีได้รายงาน การติดตามขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลในที่ประชุม เป็นสิ่งที่ดีจะสร้างเครือข่ายตามแนวทางการทำงาน“จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน”และในส่วนที่ขอความร่วมมือเพิ่มเติมคือการใช้ E-Meeting ในการประชุม โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำเป็นตัวอย่างไว้ดีมาก ในส่วนของมิติด้านการศึกษาโดยเฉพาะ Zero Dropout ก็ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงสาธารณสุขมาเติมเต็มในกระบวนการดูแลเรื่องสุขภาพผู้เรียน และหากเด็กไม่มาเรียนปีนี้ครูก็จะแจ้งไปยังฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่มีอำนาจช่วยตามเด็กกลับเข้ามาเรียนในระบบการศึกษา เพราะปีที่แล้วช่วงปลายปีครูต้องออกไปตามเด็กกลับมาเรียนด้วยตนเอง อาจทำให้ขาดเวลาในการสอนเด็ก คาดว่าในเดือนมิถุนายนปีนี้ยอดของเด็กหลุดระบบน่าจะน้อยลงกว่าปีที่แล้ว