‘เพิ่มพูน’ แถลง ครม.อนุมัติงบกลาง จ้างนักการภารโรงทุกโรงเรียน ชื่นชมนักเรียนกล้าหาญจากสมุทรปราการช่วยคนจมน้ำ แนะเชิญโรงเรียนสังกัดอื่นมาร่วมเตรียมตัวสอบ PISA 2025 พร้อมเตรียมชาวอาชีวะช่วยประชาชนช่วงสงกรานต์ 10 เมษายน 2567 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมประสานภารกิจกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 14/2567 ขอบคุณนายกรัฐมนตรี อนุมติงบกลาง จ้างนักการภารโรงครบทุกโรงเรียน เริ่ม 1 พ.ค. 2567 รมว.ศธ. กล่าวว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ที่มีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น หรืองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 618,795,000 บาท สำหรับจ้างเหมาบริการนักการภารโรง เพื่อให้โรงเรียนสามารถดำเนินการจ้างนักการภารโรงครบทุกโรงเรียนได้ทันก่อนเปิดภาคเรียนในเดือนพฤษภาคม 2567 จำนวน 13,751 อัตราระยะเวลา 5 เดือน ตั้งแต่พฤษภาคม-กันยายน 2567 ในส่วนของปี 2568ครม.ได้อนุมัติงบประมาณปี พ.ศ. 2568 ในลักษณะผูกพันต่อเนื่อง 3 ปี (พ.ศ. 2568-2570) จำนวน 25,370 อัตรา รวมเป็นเงินกว่า 2,739,960,000 บาท ซึ่ง สพฐ.จะจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป โดยหลังจากนี้ทาง สพฐ. จะได้แจ้งบัญชีจัดสรรนักการภารโรงไปยังเขตพื้นที่การศึกษา ก่อนจัดสรรต่อไปให้โรงเรียน ซึ่งคาดว่าโรงเรียนจะสามารถสรรหาและทำสัญญาจ้างได้ภายใน 30 เมษายนนี้ ขณะนี้ได้กำชับ สพฐ. วางคุณสมบัติผู้สมัครให้ชัดเจน เช่น ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีความยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นต้น ที่สำคัญคือหากผ่านการเกณฑ์ทหารแล้ว จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ เนื่องจากเราต้องเข้มงวดเรื่องการรักษาความปลอดภัย ดังนั้นผู้ที่จะมาเป็นนักการภารโรง หากผ่านการเกณฑ์ทหารแล้วหรือผ่านการเป็นนักศึกษาวิชาทหารเป็นกำลังพลสำรองของกองทัพไทยภายใต้การควบคุมของโรงเรียนรักษาดินแดน (รด.) มาแล้วก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก “นอกจากนั้นก็ต้องมีคุณสมบัติในเรื่องของการเป็นช่างซ่อมด้านต่าง ๆ ช่างฝีมือ ขับรถยนต์หรือจักรยานยนต์ได้ โดยจะร่างเป็นเกณฑ์ขึ้นมาให้ชัดเจน ดังนั้นนักการภารโรงของต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นมา ซึ่งเหตุผลที่เราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพราะนักการภารโรงสำหรับเราเปรียบเสมือนกับแก้วสารพัดนึกที่จะมาช่วยคุณครูของเราลดภาระงานต่าง ๆ ช่วยดูแลโรงเรียน เป็นผู้ปฏิบัติงานสำคัญ ไม่ใช่เป็นแค่ยามเฝ้าโรงเรียนแต่จะเป็นทุกอย่างที่เข้ามาช่วยเติมเต็มโรงเรียน ให้ครูและนักเรียนของเรา” ชื่นชมนักเรียนฮีโร่จากสมุทรปราการช่วยคนจมน้ำ รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้ยกย่องชื่นชมด.ช.อมรเทพ เมษา นักเรียนชั้น ม.2/6 โรงเรียนหาดอมราอักษรลักษณ์วิทยาสังกัด สพม.สมุทรปราการ ที่ได้กระทำความดีที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุจมน้ำ เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา โดย ด.ช.อมรเทพ ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ จึงโยนโฟมลงไปให้ผู้ประสบเหตุ แต่ผู้ประสบเหตุไม่ยอมเกาะ จึงตัดสินใจกระโดดลงน้ำเพื่อว่ายเข้าไปช่วยเหลือ จนสามารถนำตัวผู้ประสบเหตุขึ้นจากฝั่งได้อย่างปลอดภัย ความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษา PISA รมว.ศธ.กล่าวด้วยว่า สสวท. ได้รายงานการขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษา PISA ซึ่ง สสวท. ได้รายงานหลักสูตรการวัดผลประเมินผลตามแนวทาง PISA เพื่อส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจและสามารถนำแนวทาง PISA มาปรับใช้ในชั้นเรียน ซึ่งเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์แบบสะสมชั่วโมงเรียนจนครบ 7 บทเรียน มีครูและบุคลากรทางการศึกษาลงทะเบียน 6,562 ราย เข้ารับการอบรมแล้ว 1,573 ราย เรียนสำเร็จแล้ว 607 ราย และกำลังเรียน 966 ราย ทั้งนี้ รมว.ศธ.ได้แนะนำให้เชิญสถานศึกษาจากสังกัดอื่นเข้ามาร่วมเรียนด้วย เพื่อให้ผลการสอบ PISA 2025 มีผลคะแนนสูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่ สพฐ. ได้มีแนวคิดในการจัดระบบพี่เลี้ยง “โรงเรียนพี่ โรงเรียนน้อง” โดยพัฒนาชุดกิจกรรมพัฒนาสมรรถนะความรู้ จัดการเรียนรู้ในห้องเรียน เพิ่มเติมคลังแบบทดสอบตามแนวทางการประเมิน PISA พร้อมพัฒนาแนวทางการวัดผลในรูปแบบ Computer Based ซึ่งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้มีการเตรียมความพร้อมให้ศึกษานิเทศก์ในเรื่อง PISA ขณะเดียวกันมีนักเรียนเป้าหมายที่เข้าระบบ PISA Style Online Testing ทดลองใช้เครื่องมือในการพัฒนา กว่า 56,973 คน โดยในอนาคต สพฐ. ได้วางแผนการฝึกอบรมวิทยากรแกนนำและการเตรียมความพร้อมเป็นพี่เลี้ยงของเขตพื้นที่รูปแบบออนไลน์ รวมถึงเขตพื้นที่มัธยมศึกษาและประถมศึกษาต่อไป สพฐ.รายงานสรุปความคิดเห็นครู-นักเรียนทั่วประเทศ การประชุมครั้งนี้ สพฐ. ได้รายงานผลการสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในโรงเรียน และการดำเนินการพัฒนา ของนักเรียนสังกัด สพฐ. ชั้น ป.4-6 และ ม.1-ม.6 รวม 511,711 คน โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับกิจกรรมการพัฒนานักเรียนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ เรียนรู้เรื่องการเงินเห็นด้วย 97.2% ไม่เห็นด้วย 2.8% การเรียนรู้และป้องกันอันตรายจากการใช้สื่อออนไลน์เห็นด้วย 97.2% ไม่เห็นด้วย 2.8% กีฬาE-Sportควรมีการสอนในโรงเรียน ฝึกการคิดสร้างสรรค์ แก้ปัญหาได้...
ภารกิจผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ
ภารกิจผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ
10 เมษายน 2567 / พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานงาน “ประเพณีสงกรานต์ ศึกษาธิการสืบสานวัฒนธรรมไทย” โดยมีนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ผู้อาวุโส สมาชิก ช.อ.ศ., มบอศ. ข้าราชการและบุคลากรในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมงาน ณ หอประชุมคุรุสภา นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานว่า“ประเพณีสงกรานต์ ศึกษาธิการสืบสานวัฒนธรรมไทย”จัดขึ้นเนื่องในโอกาสวันสงกรานต์ ประจำปี 2567 ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่ชาวกระทรวงศึกษาธิการจะได้มารวมตัวกันรดน้ำขอพรจากผู้บังคับบัญชาและผู้อาวุโส เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามตามเทศกาล และเป็นการส่งเสริมสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย แสดงถึงความกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อผู้ใหญ่ และผู้ที่เคารพนับถือ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ.กล่าวชื่นชมชาวกระทรวงศึกษาธิการ ที่ยังคงรักษาและสืบทอดประเพณีอันดีงามเกี่ยวกับวันสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยที่ยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ มีการจัดกิจกรรมที่สะท้อนความเป็นไทยมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การรดน้ำขอพรจากผู้ใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลัง ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ประกอบไปด้วยวันสงกราน วันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันครอบครัวนั้น อาจกล่าวโดยรวมได้ว่าเป็นเทศกาลสำคัญต่อการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่มีมาอย่างยาวนานจึงขอให้ใช้เวลาในช่วงวันหยุดยาวนี้อยู่กับครอบครัวให้เต็มที่ วางเรื่องการงานเอาไว้ชั่วคราวก่อน เพื่อมอบความสุขให้กับครอบครัวอย่างเต็มที่ ตามนโยบายของเรา นอกจากจะขับเคลื่อนการทำงานเรียนดี มีความสุขแล้ว ชีวิตในด้านอื่น ๆ ก็ต้องมีความสุขด้วยเช่นกันตลอดจนช่วยกันรักษาประเพณีในการเล่นน้ำเทศกาลสงกรานต์อย่างมีวัฒนธรรม ช่วยกันประหยัดและตระหนักในคุณค่าของน้ำ แต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของประเพณีสงกรานต์ไทยเราไว้ รมว.ศธ.ให้เกียรติกล่าวคำอำนวยพรเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567 “ประเพณีสงกรานต์ ศึกษาธิการสืบสานวัฒนธรรมไทย” ว่า ขอให้โอกาสเทศกาลสงกรานต์นี้ เป็นห้วงเวลาแห่งการเสริมสร้างความสุข ความรัก ความสามัคคี และขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านเคารพนับถือ อีกทั้งพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ความเจริญ ประสบแต่สิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการ #กระทรวงศึกษาธิการ #เรียนดีมีความสุข #สงกรานต์2567 #เดินทางปลอดภัย #สงกรานต์67 #สงกรานต์2024 //////////////////////////////////// ปารัชญ์ ไชยเวช/ข่าว สมประสงค์ ชาหารเวียง, ศุภณัฐ วัฒนมงคลลาภ, พีรณัฐ ยุชยะทัต, ณัฐพล สุกไทย/ถ่ายภาพ
ขอเชิญผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมรับชมศึกษาเรียนรู้ข้อมูลความรู้ จากการสัมมนานักบริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 มีนาคม 2567 ณ ห้องประชุมบอลรูมชั้น 2 สนามช้างอารีนา โรงแรมอมารี บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อำเภอเมืองฯ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการสัมมนา โดยมีนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงทุกองค์กรหลัก/ในกำกับ เข้าร่วมการประชุม สำหรับการสัมมนาครั้งนี้ มีผู้บริหารชั้นนำจากภาคเอกชน มาให้ความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เช่น นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP), นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด, นายอุกฤษณ์ ภาควิวรรธ รองผู้จัดการใหญ่ ด้านวางแผนการค้า และการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด, นายอารักษ์ พรประภา ประธานบริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด, นายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, นางสาวฐิติรัตน์ เจริญยิ่งวัฒนา และนายธนาวิชญ์ จินดาประดิษฐ์ กระทรวงศึกษาธิการ จึงขอเชิญผู้บริหาร ข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้สนใจทุกสังกัด ทั้งภายในและภายนอกกระทรวงศึกษาธิการ รับชมศึกษาเรียนรู้ข้อมูลความรู้จากการสัมมนาดังกล่าวตามลิงก์ รวมคลิป “หลักสูตรการสัมมนานักบริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ” ณ จังหวัดบุรีรัมย์ ขอเชิญผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมรับชมศึกษาเรียนรู้ข้อมูลความรู้ จากการสัมมนานักบริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 มีนาคม 2567 ณ ห้องประชุมบอลรูมชั้น 2 สนามช้างอารีนา โรงแรมอมารี บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อำเภอเมืองฯ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการสัมมนา พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารระดับสูงทุกองค์กรหลักในสังกัด/ในกำกับ เข้าร่วมสัมมนา สรุปภาพรวมการสัมมนา https://youtu.be/BbmqvMN8YMg พิธีเปิดโครงการสัมมนา https://youtu.be/l0wRqJig-30 การขับเคลื่อนนโยบาย ศธ. (พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ.) https://youtu.be/ZItq14v7Jco แนวทางการยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม (นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ.) https://youtu.be/xSd8b17P_RQ มุมมองต่อการศึกษาในมุมมองของภาคเอกชน (นายศุภชัย เจียรวนนท์ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด) https://youtu.be/5Se05fTv9DU การมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของภาคเอกชน 3 ผู้บริหารบริษัทเอกชนด้านยานยนต์ (นายอารักษ์ พรประภา จากไทยฮอนด้า, นายอุกฤษณ์ ภาควิวรรธ จากไทยยามาฮ่ามอเตอร์ และนายศุภกร รัตนวราหะ จากโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย) https://youtu.be/X7HQYwwPKs4 Mindset สําหรับนักบริหาร (นายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) https://youtu.be/IyziWsKxWA0 การสังเคราะห์ DNA ของกระทรวงศึกษาธิการ (นางสาวฐิติรัตน์ เจริญยิ่งวัฒนา บริษัท รีเทล แพสชั่น จำกัด) https://youtu.be/1g3GDgCjvBg MoE Digital Transformation (นายธนาวิชญ์ จินดาประดิษฐ์ บริษัท แอทไวส คอนซัลติ้ง จำกัด) https://youtu.be/2jOYfV7qRao พิธีปิด https://youtu.be/GjE68t0g_N4 •• รับชมต่อเนื่องตาม Playlist การนำเสนอ https://youtube.com/playlist?list=PLCNhsGIYTlkxqnSUCzRGlVz0F4cX_iieD&si=-9cE1oe4zpTHJrXx
7 เมษายน 2567 / นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองโฆษกสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองโฆษก สพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) ได้มอบหมายให้ติดตามความคืบหน้าการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2567 โดยเฉพาะการดูแลนักเรียนที่ยังไม่มีที่เรียน ในระดับชั้น ม.1 และ ม.4 ตามนโยบาย พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ให้ความสำคัญทางด้านโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา ป้องกันเด็กตกหล่นและหลุดจากระบบการศึกษา โดยเน้นย้ำว่า “เด็กทุกคนต้องมีที่เรียน” ครบถ้วนก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1/2567 นี้ นางภัทริยาวรรณกล่าวว่า ตามที่ผู้ปกครองได้ยื่นความจำนงขอรับการจัดสรรที่เรียนไว้ ณ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา และผ่านทางระบบออนไลน์ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแต่ละแห่ง จนถึงวันที่ 2 เมษายน 2567 นั้น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้ประกาศผลให้ผู้ปกครองและนักเรียนได้ทราบแล้ว ในวันที่ 5 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เลขาธิการ กพฐ. ยังคงห่วงใยและกำชับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่ง ให้ความช่วยเหลือนักเรียนทุกคน หากพบว่านักเรียนคนใดยังไม่มีที่เรียน ให้อำนวยความสะดวกแก่นักเรียนและผู้ปกครองในการจัดหาที่เรียน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและคลายความกังวลใจของผู้ปกครอง พร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้รวบรวมรายชื่อโรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วประเทศที่ยังมีที่นั่งว่างอยู่ โดยข้อมูล ณ วันที่ 5 เมษายน 2567 มีโรงเรียนมัธยมศึกษาในสังกัด สพฐ. ยังมีที่นั่งว่างสามารถรับนักเรียน ชั้น ม.1 ได้จำนวน 45,009 ที่นั่ง และชั้น ม.4 ได้จำนวน 54,162 ที่นั่ง โดยผู้ปกครองสามารถติดต่อสอบถามกับทางโรงเรียนได้โดยตรง และพาบุตรหลานไปสมัครเข้าเรียนกับทางโรงเรียนได้โดยไม่ต้องสอบคัดเลือก หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ “ศูนย์ประสานงานการรับนักเรียน” ของทุกเขตพื้นที่การศึกษา ตามรายละเอียดและหมายเลขโทรศัพท์ ที่ปรากฏตามลิงก์นี้ https://drive.google.com/drive/folders/14sLL6RymRH743keeChFsz2IOWxnxhdVR หรือสแกน QR CODE ตามที่ปรากฏ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ ได้ที่ “ศูนย์ประสานงานการรับนักเรียน สพฐ.” หมายเลขโทรศัพท์ 0 2280 5530 และ 0 2288 5839 “สพฐ. ได้เน้นย้ำกำชับให้ทุกเขตพื้นที่การศึกษา ช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้เด็กทุกคนได้มีที่เรียน รวมทั้งประสานกับสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัด/กรุงเทพมหานคร ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ/เขต ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัด โรงเรียนเอกชน ครอบครัวและสถานประกอบการที่จัดการศึกษาทางเลือก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้จัดการศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนปกติได้ เพื่อให้เด็กทุกคนไม่ต้องหลุดจากระบบการศึกษา ได้เรียนรู้อย่างเหมาะสมตามช่วงวัยในสถานศึกษาที่มีคุณภาพ “เรียนดี มีความสุข” อย่างถ้วนหน้าในทุกพื้นที่ของประเทศต่อไป ”รองโฆษก สพฐ. กล่าว ประชาสัมพันธ์ สพฐ. / ข่าว ปารัชญ์ ไชยเวช / กราฟิก รมว.ศธ.
5 เมษายน 2567 – พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีลงนามความร่วมมือสนับสนุนและส่งเสริมการจัดการอาชีวศึกษา เพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาสมรรถนะสูง โดย นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นายอารักษ์ พรประภา ประธาน บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด และ นายพงศธร เอื้อมงคลชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ร่วมลงนามความมือ ซึ่งมี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ., นายนพ ชีวานันท์ เลขานุการ รมว.ศธ., นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. และผู้บริหาร ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ โถงอาคารราชวัลลภ ชั้น 1 กระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศธ. กล่าวว่าในนามกระทรวงศึกษาธิการรู้สึกชื่นชมยินดีกับความร่วมมือในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง ทั้งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โตโยต้า ฮอนด้า และยามาฮ่า ได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ ที่เล็งเห็นความสำคัญในการเข้ามีส่วนร่วมในการผลิตและพัฒนาผู้เรียน ตามนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” นักเรียน นักศึกษา มีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ” โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง (Active Learning) เพื่อผลิตพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาสมรรถนะสูง ให้พร้อมพัฒนาประเทศในยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ วันนี้ถือเป็นอีกก้าวของความร่วมมือแบบทวิภาคีเข้มข้นมากขึ้น ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการร่วมกันจัดการเรียนการสอนและออกแบบหลักสูตร ในอนาคตเมื่อนักเรียน นักศึกษา เรียนจบได้ใบประกอบวิชาชีพ จะเป็นเครื่องหมายการันตีว่าผู้เรียนผ่านการอบรมจากหลักสูตรที่อาชีวะและภาคเอกชนร่วมมือกันอย่างเป็นมาตรฐาน สามารถเข้าไปทำงานบริษัทในเครือทั้งไทยและต่างประเทศ ได้ทันทีอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเด็กที่มีความรู้ความสามารถที่โดดเด่น จะได้รับการคัดเลือกจากบริษัทเอกชนชั้นนำ หรือประกอบกิจการส่วนตัวหรือทำงานบริษัทในเครือต่างประเทศ ฝากไปถึงผู้บริหารของอาชีวะทั่วประเทศ ถึงการสร้างความร่วมมือกับสถานประกอบการในพื้นที่ให้เกิดการดำเนินการร่วมกัน เชื่อว่าหากเด็กได้รับการันตีจากสถานประกอบการแล้ว จะเป็นใบนำทางที่จะประกอบอาชีพทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก นี่คือสิ่งที่ดีที่เราจะร่วมกันดำเนินการต่อไป สู่ความสำเร็จที่ทำให้เด็กมีรายได้ที่ไม่จำกัดแค่ในประเทศเท่านั้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในวันนี้จะก่อให้เกิดผลดีกับทุกฝ่าย และประสบความสำเร็จตาม เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ มาร่วมสร้างกำลังคนอาชีวะที่มีความรู้ความสามารถ ตรงความต้องการของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเมืองทุกมิติต่อไป นายยศพล เวณุโกเศศกล่าวเพิ่มเติมว่า ขอบคุณการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดการอาชีวศึกษาระบบปกติและระบบทวิภาคี ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี (Dual Vocational Education : DVE) เป็นการจัดการศึกษาวิชาชีพที่เกิดจากข้อตกลงระหว่างสถานศึกษากับสถานประกอบการ ที่ร่วมกันจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกัน มีการวัดและการประเมินผล และเน้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาทักษะวิชาชีพให้มีความชำนาญ รวมถึง Re-skill Up-skill และ New-skill ครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีทักษะขีดความสามารถในสาขาวิชาชีพเพิ่มขึ้น โดยนักเรียน นักศึกษาในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องมีโอกาสฝึกปฏิบัติในสถานประกอบการจริง จบแล้วสามารถทำงานได้อย่างมีคุณภาพ พร้อมเป็นกำลังคนอาชีวศึกษาสมรรถนะสูง ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ พบพร ผดุงพล / ข่าว สมประสงค์ ชาหารเวียง / วิดีโอ ศุภณัฐ วัฒนมงคลลาภ , นัทสร ทองกำเหนิด / ภาพ สหัสยา จันทร์หอม / TIK TOK
5 เมษายน 2567 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 13 และประชุมที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 2/2567 พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ. โดยมีนายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการ กอศ. ผู้บริหาร ศธ. ตลอดจนคณะกรรมการฯ จากภาครัฐและเอกชนทั้งส่วนกลางและในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ และระบบออนไลน์ โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ รมว.ศธ.กล่าวว่า การประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 13 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่กำลังจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 23-26 สิงหาคมนี้ เป็นภารกิจที่สำคัญเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาของประเทศสมาชิก เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการศึกษา เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และภาคีเครือข่าย เข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินกิจกรรม/โครงการภายใต้แผนงานด้านการศึกษาของอาเซียน และแนวทางการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการศึกษาและภารกิจด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงขอให้ทุกหน่วยงาน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกันในการดำเนินงานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 13 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จะแบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ การประชุมระดับรัฐมนตรี และการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสหรือระดับปลัดกระทรวงฯ ดังนี้ 1) การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการศึกษาของอาเซียน ครั้งที่ 19 (19th ASEAN Senior Officials Meeting on Education: SOM-ED) 2) การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการศึกษาอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 14 (14th ASEAN Plus Three Senior Officials Meeting on Education: APT SOMED) อาเซียน 10 ประเทศ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น 3) การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการศึกษาในกรอบสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 9 (9th East Asia Summit Senior Officials Meeting on Education: EAS SOMED) อาเซียน 10 ประเทศ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา 4) การประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 13 (13th ASEAN Education Ministers Meeting: ASED) 5) การประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 7 (7th ASEAN Plus Three Education Ministers Meeting: APT EMM) 6) การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกด้านการศึกษา ครั้งที่ 7 (7th East Asia Summit Education Ministers Meeting: EAS EMM) นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบ (ร่าง) คำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานด้านต่าง ๆ ในการดำเนินการจัดการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 13 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางและรูปแบบในการจัดการประชุมฯ อำนวยการและกำกับดูแลการเตรียมการจัดการประชุมฯ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งประกอบด้วยคณะทำงานฯ จำนวน 7 คณะ คือ 1) คณะทำงานด้านการต้อนรับ พิธีการและงานเลี้ยงรับรอง โดยมี นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน 2) คณะทำงานด้านสารัตถะ โดยมี นางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ ที่ปรึกษาพิเศษด้านความร่วมมือต่างประเทศของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน 3) คณะทำงานด้านการประชาสัมพันธ์ โดยมี นายธนู ขวัญเดช รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน 4) คณะทำงานด้านการเดินทาง พาหนะและรักษาความปลอดภัย โดยมี นายวรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน 5) คณะทำงานสุขภาพและปฐมพยาบาล โดยมี นายแพทย์พงศธร พอกเพิ่มดี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข...
4 เมษายน 2567 / นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้นายธนู ขวัญเดช รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ หลักสูตร “ครูรุ่นใหญ่ เกษียณแสนสุข” พร้อมด้วย นางสาววาสุกาญจน์ บู่ทอง ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา (ผอ.สคบศ.) ณ ห้องจันทรเกษม กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการครูและบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ ก่อนเกษียณอายุราชการ 10 ปี และเกษียณอายุราชการแล้ว ได้เรียนรู้และวางแผนบริหารจัดการการเงินอย่างเหมาะสม สามารถวางแผนการออม การลงทุนที่เหมาะสมกับรายได้และมีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งเป็นการพัฒนาผ่านระบบออนไลน์จากแพลตฟอร์ม KHURU Online ของสถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา โดยมี ศึกษาธิการจังหวัด ตลอดจนครูก่อนเกษียณอายุราชการไม่เกิน 10 ปี และเกษียณอายุราชการแล้ว ที่สนใจจากทั่วประเทศ เข้าร่วมผ่านระบบออนไลน์ และ Facebook Live เพจครูรุ่นใหญ่ เกษียณแสนสุข 2024 รองปลัด ศธ.กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้สินของทุกภาคส่วน และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินทั้งระบบ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัด โดยร่วมมือกับกระทรวงการคลัง และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นหลักที่ ศธ.มุ่งมั่นดำเนินการเพื่อลดภาระครูอย่างเป็นรูปธรรม พัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสมกับข้าราชการครูบรรจุใหม่ และข้าราชการครูทุกกลุ่มให้มีความรู้ สร้างวินัยการบริหารจัดการการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลักสูตร “ครูรุ่นใหญ่ เกษียณแสนสุข” จึงถูกพัฒนาขึ้นให้เหมาะสมกับกลุ่มข้าราชการครูและบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ ก่อนเกษียณอายุราชการ 10 ปี และเกษียณอายุราชการแล้ว ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ ให้มีทักษะ และประสบการณ์ในการประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดการการเงินและการจัดการหนี้ รวมถึงการเสริมสร้างประสบการณ์ด้านดิจิทัล ภัยทางการเงิน สามารถวางแผนการใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุราชการให้มีความสุข และมีช่องทางการเสริมรายได้อย่างมั่นคงตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง “หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้เข้ารับการพัฒนาในครั้งนี้จะมุ่งมั่น ตั้งใจในการเข้ารับการพัฒนาเพื่อรับความรู้ สร้างความเข้าใจ ให้เกิดทักษะในการวางแผนการบริหารจัดการการเงินและวางแผนการออมได้อย่างมีประสิทธิภาพ”นายธนู กล่าว ผอ.สคบศ. กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักสูตร “ครูรุ่นใหญ่ เกษียณแสนสุข” ได้รับความช่วยเหลือจากสถาบันอุดมศึกษา ธนาคารแห่งประเทศไทย บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกำหนดเนื้อหาให้สอดคล้องกับบุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมให้เกียรติมาเป็นคณะวิทยากรด้วย ตลอดจนได้รับความร่วมมือจากสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ในการวางแผน ประสานงาน กำกับติดตามการพัฒนาบุคลากรในพื้นที่ความรับผิดชอบ สำหรับรุ่นที่ 1 จะดำเนินการอบรมระหว่างวันที่ 4 – 15 เมษายน 2567 มีผู้สมัครเข้ารับการพัฒนาผ่านระบบออนไลน์จากแพลตฟอร์ม KHURU Online แล้วกว่า 100 คน อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว พีรณัฐ ยุชยะทัต / ภาพ
สัปปายะสภาสถาน 3 เมษายน 2567 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 13/2567 พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ., นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ., นายนพ ชีวานันท์ เลขานุการ รมว.ศธ., นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ., นายอรรถพล สังขวาสี เลขาธิการ สกศ., ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ., นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการ กอศ., ผู้บริหารระดับสูงองค์กรหลักและหน่วยงานในกำกับเข้าร่วม ณ ห้องประชุม N 405 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา และประชุมผ่านระบบ e-Meeting มีผลการประชุมที่สำคัญ ดังนี้ ความก้าวหน้าเพื่อยกระดับผลการประเมิน PISA 2025 รมว.ศธ.กล่าวเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงาน พิจารณาแนวทางการพัฒนาและดำเนินการสร้างมาตรฐานการศึกษาของประเทศไทยให้มีความเสมอภาคมากยิ่งขึ้น กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)ได้มีการประชุมร่วมกับองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย (UNICEF) เรื่อง การใช้ PISA ในทางปฏิบัติ : พลังของข้อมูลเพื่อการปรับปรุงการศึกษา เป็นการเชื่อมโยงผลจาก PISA กับการปฏิรูประบบการศึกษา เป็นเวทีการประชุมให้ผู้ที่อยู่ในแวดวงทางการศึกษาและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนในสังคม ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อร่วมกันพัฒนาการศึกษาด้วยการใช้ข้อมูล PISA เพื่อการปรับปรุงการศึกษาและการเชื่อมโยงผลจาก PISA กับการปฏิรูประบบการศึกษา ซึ่งสิ่งที่ ศธ. ต้องเร่งดำเนินการ คือการใช้ผลการประเมิน PISA เป็นกลไกในการผลักดันคุณภาพครู ผู้เรียน และการศึกษาในองค์รวม การพัฒนาครู ให้เป็นครูสมรรถนะสูง และการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการผลักดันให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษา สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)ได้เสนอผลการประชุมคณะกรรมการ PISA แห่งชาติที่ผ่านมา โดยดำเนินการแต่งตั้งคณะทำงานภายในหน่วยงานแต่ละสังกัดที่มีนักเรียนเข้าร่วมการสอบ PISA มีการวางแผนระยะยาวในการพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนตามแนวทางการประเมิน PISA และบริหารจัดการให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ดำเนินการขับเคลื่อน PISA ลงสู่สถานศึกษาทุกสังกัดในจังหวัด โดยให้ดำเนินการร่วมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศของกระทรวงศึกษาธิการ (คปภ.)และดำเนินงานตามแผนการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับผลการประเมิน PISA ระยะที่ 1 ซึ่งเป็นการพัฒนานักเรียนชั้น ม.2 และ ม.3 ในปีการศึกษา 2567 โดยได้ร่วมกับ สพฐ. ในการนำแนวข้อสอบแนว PISA ในฐานข้อมูลมาจัดทำเป็นแบบฝึกความฉลาดรู้ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ และจัดทำคู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านอย่างฉลาดรู้ ความฉลาดรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ตามแนวของ PISA นอกจากนี้ยังได้ทำการจัดหาและจัดทำแบบฝึกเพิ่มเติมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะด้านการวิเคราะห์และการแก้โจทย์ปัญหาที่เกี่ยวกับความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ ความฉลาดรู้ด้านวิทยาศาสตร์ การฝึกอบรมวิทยากรแกนนำและเตรียมความพร้อมการเป็นพี่เลี้ยงของเขตพื้นที่ และฝึกอบรมวิทยากรประจำสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา เพื่อขยายผลและขับเคลื่อนเอกสารชุดแบบฝึก 183 เขตพื้นที่ รวม 4 ภูมิภาค และจัดประชุมชี้แจงการดำเนินการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โดยการใช้องค์ความรู้ PISA ไปยังทุกโรงเรียนในสังกัดผ่านระบบออนไลน์ นอกจากนี้ รมว.ศธ. ยังได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยวกับโปรแกรมการสอบ PISA ของผู้บริหารสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีนักเรียนเข้ารับการทดสอบ PISA และมอบหมายให้ สพฐ. เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการให้มีการเข้าสอบ โดยขยายไปยังผู้บริหารของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ทั้ง 62 เขต และผู้บริหารของทุกหน่วยงาน เพื่อให้ผู้บริหารได้รับการประเมินและเป็นข้อมูลสำหรับใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาและข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการยกระดับคุณภาพการศึกษา ซึ่งผลการประเมินของ PISA ทำให้ทราบว่า ระบบการศึกษาของประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมสำหรับนักเรียนในการเตรียมความพร้อมในการสอบมากน้อยเพียงใด โดย สทศ. ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลข้อสอบ PISA มาจัดทำเป็นระบบการทดสอบออนไลน์ เพื่อให้ผู้บริหารได้ทดลองเข้าสอบ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) (องค์การมหาชน)ได้เสนอผลการประชุมหารือร่วมกับผู้แทนหน่วยงานต้นสังกัด (สพฐ. สช. อปท. กทม. สอศ. สกร. สป.อว. และ สทศ.) ในการปรับวิธีการประเมินคุณภาพภายนอก ด้านคุณภาพของผู้เรียน โดยใช้หลักการพิจารณาเชิงระบบเพื่อนำมาใช้วิเคราะห์เปรียบเทียบความสอดคล้องระหว่างผลการประเมินคุณภาพภายนอกด้านคุณภาพของผู้เรียน กับผลการทดสอบระดับชาติ และพัฒนาเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลทรัพยากรการจัดการศึกษาของสถานศึกษา เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์หาปัจจัยเชิงสาเหตุ (ด้านกระบวนการบริหารและการจัดการ ด้านการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และด้านทรัพยากรการจัดการศึกษา) ที่ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน รวมถึงการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการยกระดับคุณภาพการศึกษาเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัดและกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)ได้เสนอผลการดำเนินการยกร่างแนวทางยกระดับผลการประเมิน PISA 2025 ของ สอศ. ซึ่งได้กำหนดกิจกรรม ดังนี้ 1) สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการประเมิน PISA ให้แก่ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา ในสังกัด สอศ. 2) เตรียมความพร้อมครู โดยการจัดอบรมเพิ่มทักษะการสอนตามแนวทางการประเมิน PISA 3) ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับแนวทางการประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล และ 4) ให้สถานศึกษาส่งเสริม Self learning...
จังหวัดจันทบุรี 2 เมษายน 2567 / นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีบรรพชาอุปสมบท และบวชเนกขัมมะศีลจาริณี ลูกเสือ เนตรนารี ภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กล่าวรายงาน ณ วัดคมบาง อำเภอเมืองจันทบุรี สำหรับการบรรพชา อุปสมบทและบวชเนกขัมมะศีลจาริณี ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยังเป็นการส่งเสริมให้ลูกเสือ เนตรนารี และบุคลากรทางการลูกเสือได้มีโอกาสเข้ารับการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ได้เรียนรู้และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเพื่อให้เป็นผู้มีศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม สามารถนำหลักธรรมไปใช้ ในการดำรงชีวิตประจำวัน และอยู่ในสังคมอย่างเป็นสุข เพื่อเป็นการปลูกฝังถ่ายทอดให้เกิดคุณลักษณะที่ดีงาม สอดคล้องกับอุดมการณ์และหลักการสำคัญของการลูกเสือที่มุ่งเน้นพัฒนาให้เป็นผู้ที่มีความเสียสละ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักคือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ประพฤติปฏิบัติตนเป็นเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว และเป็นพลเมืองดีของสังคมและประเทศชาติ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสองค์พระประมุขของคณะลูกเสือแห่งชาติ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 120 ราย ดังนี้ 1) อุปสมบท 10 ราย 2) บรรพชา 70 ราย และ 3) เนกขัมมะศีลจาริณี 40 ราย โดยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่ง จาก 1. เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี 2. พระปลัดนิวัติพลธัมโม วัดคมบาง 3. ผู้ว่าราชการจัหวัดจันทบุรี 4. คณะกรรมการบริหารค่ายลูกเสือเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เฉลิมราชกุมารี 5. คณะกรรมการลูกเสือจังหวัดจันทบุรี 6. ศึกษาธิการจังหวัดจันทบุรี 7. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1, เขต 2 8. สำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษา จันทบุรี-ตราด 9. วัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรี 10. สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดจันทบุรี 11. สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดจันทบุรี และกรุงเทพมหานคร 12. สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคตะวันออก 13. พระมหาพสิษฐ์ ธมสโร หัวหน้าคณะพระวิทยากรจังหวัดบุรีรัมย์ และส่วนราชการในจังหวัดจันทบุรี ตลอดจนชมรม สโมสร สมาคมสโมสรลูกเสือทั่วประเทศ หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ผู้ปกครอง และผู้มีจิตศรัทธา
เด็กหยุดเรียน อยู่บ้านอาจไม่มีผู้ดูแล เด็กอาจชวนกันไปเล่นน้ำคลายร้อนตามแหล่งน้ำอันตราย เช่น ลำคลอง ฝายกักเก็บน้ำ อาจพลัดตก ลื่น หรือจมน้ำเสียชีวิตได้ องค์การอนามัยโลกเผยสถิติการจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กอายุ 5-14 ปี ในประเทศไทยคนไทยจมน้ำเสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 3,634 คน เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เสียชีวิตประมาณ 700 คน หรือวันละ 2 คน สาเหตุจากการเล่นน้ำ 57% พลัดตกลื่น 29% และอื่น ๆ แนวทางป้องกันการจมน้ำ เด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 5 ปี) ยึดหลัก “อย่าใกล้ อย่าเก็บ อย่าก้ม” เด็กโตห้ามไปเล่นน้ำกันเอง ห้ามกระโดดลงไปช่วยคนตกน้ำ ใช้มาตรการ “ตะโกน โยน ยื่น” การช่วยเหลือผู้จมน้ำควรรีบแจ้งสถานพยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือโทร 1669 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสายด่วนกระทรวงศึกษาธิการ 1579
กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จัดงานวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 132 ปี วันจันทร์ที่ 1 เมษายน 2567 รมว.ศธ. “เพิ่มพูน” กล่าวยกย่องผู้ทำคุณประโยชน์ ข้าราชการพลเรือนดีเด่น และบุคลากร ศธ. เป็นส่วนที่สำคัญยิ่งในการผลักดันการปฏิรูปการศึกษาร่วมกับ ศธ. พร้อมยกเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการจับมือไว้แล้วไปด้วยกัน สำหรับการจัดงานในปีนี้ เริ่มเวลา 07.09 น.โดยพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ,นายสิริพงศ์ อังคสกลุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ.,นายเชิดศักดิ์ โภคกุลกานนท์ ที่ปรึกษา รมว.ศธ.,นายวิศรุต ปู่เพ็ง ที่ปรึกษา รมช.ศธ.,นายนพ ชีวานันท์ เลขานุการ รมว.ศธ.,นายพิษณุ พลธี ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.ศธ.รวมทั้งนายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ.,นายอรรถพล สังขวาสี เลขาธิการ สกศ.ตลอดจนครูอาวุโส ผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากร ศธ. ร่วมประกอบพิธีบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ ศธ.ที่ล่วงลับไปแล้ว และตักบาตรพระสงฆ์ สามเณร จำนวน 133 รูป ณ บริเวณสนามหน้า ศธ. จากนั้น รมว.ศธ. และคณะ ได้ประกอบพิธีสักการะพระพุทธรูปประจำกระทรวงศึกษาธิการ “พระพุทธบารมีศักดิ์สิทธิ์ สยามิศรจักรีสัฏฐีอนุสรณ์ ศึกษาทรรังสรรค์” รวมทั้งพระภูมิหรือพ่อปู่ชัยมงคล และพระพุทธรูปประจำสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ตลอดจนประกอบพิธีพราหมณ์บวงสรวงพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 ตามลำดับเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี เวลา 10.00 น. ที่หอประชุมคุรุสภา– รมว.ศธ. เป็นประธานในพิธีมอบเข็ม “เสมาคุณูปการ” และประกาศเกียรติคุณบัตรแก่ผู้ทำคุณประโยชน์ให้ ศธ. ประจำปี 2567 จำนวน 135 ราย/รูป และมอบเข็ม “กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2567” แก่ครูผู้เป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง จำนวน 5 ราย รวมทั้งมอบเข็ม “เชิดชูเกียรติ” และประกาศเกียรติบัตรให้กับข้าราชการพลเรือนดีเด่น ศธ. ประจำปี 2566 จำนวน 12 ราย รมว.ศธ.กล่าวว่า ในโอกาสวันที่ 1 เมษายน 2567 เป็นวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ ครบรอบ 132 ปี นับเป็นวันสำคัญของข้าราชการ และบุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการทุกระดับ ที่ได้รับผิดชอบภาระหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพของคน ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในประเทศ และการที่จะทำให้ประเทศเปลี่ยนแปลงในทางที่เจริญก้าวหน้า ที่เรียกว่า “การพัฒนา” นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเริ่มต้นที่ “การพัฒนาคน” เป็นลำดับแรกก่อน การวางรากฐานด้านการพัฒนาคน เพื่อรองรับความเจริญของประเทศในอนาคต รัฐบาลได้กำหนดนโยบายสำคัญที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี เอาไว้หลายประการ ซึ่งได้แก่ การมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ การเสริมสร้างศักยภาพผู้เรียนตามความถนัดเพื่อสร้างอนาคตและสร้างรายได้ การกระจายอำนาจการศึกษาให้ผู้เรียนเข้าถึงการเรียนรู้ โดยมีอุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย และใช้ระบบเทคโนโลยีการศึกษาสมัยใหม่ จัดทำหลักสูตรที่เหมาะสมกับความรู้ความสนใจของผู้เรียน และการสร้างผู้เรียนให้มีความพร้อม ต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกสมัยใหม่ กระทรวงศึกษาธิการ มีบทบาทที่จะต้องพิจารณาดำเนินการให้บรรลุตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ได้ตั้งเอาไว้ ประการสำคัญคือรัฐบาลจะมุ่งแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่เป็นรากฐานของความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งอาจถือว่าเป็นแนวทางการปฏิรูปการศึกษา ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนมากที่สุด ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจึงวางจุดเน้นการทำงานไปที่การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เกิด “การเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา” (Anywhere Anytime) โดยพยายามเร่งส่งเสริมบทบาทของทุกภาคส่วนให้เข้ามาสนับสนุนและจัดการศึกษา จัดหาสื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งทุกท่าน ณ ที่ประชุมแห่งนี้จะสามารถช่วยเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญต่อภารกิจดังกล่าว ดั่งแนวทางการทำงานของ ศธ. “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” ที่จะขาดไปไม่ได้ต้องขอบคุณผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการประจำปี 2567 ครูผู้เป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี 2566 ซึ่งทุกคนเป็นผู้มีความสำคัญยิ่งในการผลักดันการปฏิรูปการศึกษาร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการจับมือไว้แล้วไปด้วยกัน อีกทั้งยังเสมือนเป็นตัวแทนของผู้ทำคุณประโยชน์ด้านการศึกษาคนอื่น ๆ ที่มีเป็นจำนวนมากและกระจายอยู่ทั่วประเทศอีกด้วย ปลัด ศธ.กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงศึกษาธิการ ได้สถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2435 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ในชื่อว่า “กระทรวงธรรมการ” มีหน้าที่ในการจัดการพระศาสนา การศึกษา การพยาบาลและพิพิธภัณฑ์ นับถึงวันนี้มีอายุครบ 132 ปี สู่การเป็นกระทรวงศึกษาธิการ ในโลก Digital Transformation ซึ่งยังคงทำหน้าที่สำคัญ ในการส่งเสริมและกำกับดูแลการศึกษา ถ่ายทอดความรู้ พัฒนาจิตใจและสติปัญญาของผู้เรียนทุกระดับทุกประเภท เพื่อสร้างบุคลากรของประเทศให้เจริญเติบโต มีความเจริญงอกงามรอบด้าน การจัดงานในวันนี้ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม สถาปนากระทรวงศึกษาธิการขึ้น และรำลึกถึงผู้ทำคุณประโยชน์ที่ล่วงลับไปแล้ว พร้อมทั้งเป็นการเชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี 2567 อีกด้วย ทั้งนี้ ในวันที่ 1 เมษายน 2567 ยังเป็น...
29 มีนาคม 2567/ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรรมการและผู้แทนเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศธ.เปิดเผยว่า คณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการของกระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาปรับปรุงการจัดและพัฒนาส่วนราชการและวิธีปฏิบัติงาน ตลอดจนระบบบุคคลให้ทันสมัยและรองรับกับยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายและภารกิจที่มีความสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล รวมทั้งบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกและแนวโน้มที่สำคัญในอนาคต พิจารณากำหนดหน้าที่และอำนาจ รวมถึงขอบเขตความรับผิดชอบของส่วนราชการ และองค์กรรูปแบบอื่นที่มิใช่ส่วนราชการภายในสังกัด โดยในวันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบการแบ่งส่วนราชการภายในของกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา และร่างกฎกระทรวงของหน่วยงานโดยในส่วนของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ให้มีการนำข้อเสนอของหน่วยงานกลางไปปรับแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนของรายละเอียดให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อเสนอสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการต่อไป ปารัชญ์ ไชยเวช/ข่าว นัทสร ทองกำเหนิด/ถ่ายภาพ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
29 มีนาคม 2567/ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่สภานายกสภาลูกเสือไทย เป็นประธานการประชุมสภาลูกเสือไทย ประจำปี 2567 ภายใต้คำขวัญ“ทำดี ทำได้ ทำทันที”โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาลูกเสือไทย และผู้แทนองค์กรภาคีเครือข่าย จำนวน 250 คน ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบกล่าวรายงานว่า ในปีที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ได้ดำเนินกิจการลูกเสือตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ.2551 ข้อบังคับคณะลูกเสือแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล และนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของกระทรวงศึกษาธิการภายใต้แนวทาง “ทำดี ทำได้ ทำทันที”เพื่อปลูกฝัง ฝึกฝนอบรม พัฒนาเยาวชนของชาติให้มีคุณภาพ ยึดมั่นในอุดมการณ์ของลูกเสือ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ บำเพ็ญประโยชน์เพื่อช่วยเหลือชุมชนและสังคม อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญในการส่งเสริมให้เยาวชนไทยเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของชาติต่อไปในอนาคต รวมถึงบริหารกิจการลูกเสือให้เกิดประสิทธิภาพ สร้างความสัมพันธ์กับคณะลูกเสือนานาชาติ ซึ่งประสบความ สำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายทุกประการ โดยได้รับความร่วมมือจากสถานศึกษาทุกสังกัด องค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรภาคีเครือข่ายให้การส่งเสริมสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ลูกเสือและบุคลากรทางการลูกเสือ ยังได้น้อมนำโครงการลูกเสือจิตอาสาพระราชทาน มุ่งประสานทำความดีด้วยหัวใจ มาเสริมสร้างจิตสำนึกความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง สร้างจิตบริการและจิตสาธารณะ บำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน สำหรับปีนี้ สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ได้จัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำ (ร่าง) นโยบายและข้อเสนอแนะการพัฒนากิจการลูกเสือไทยและการจัดอภิปรายเยาวชนลูกเสือ Youth Forum ระหว่างวันที่ 30 – 31 มกราคม 2567 มีผู้แทนจากหน่วยงานทุกภาคส่วนตามพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ.2551 และผู้แทนเยาวชนลูกเสือเข้าร่วมประชุม โดยจะนำเสนอผลสรุปจากการประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าวในวันนี้ด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูลกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ได้ทรงพระราชทาน“หลักสูตรลูกเสือจิตอาสาพระราชทาน”มุ่งประสานทำความดีด้วยหัวใจ เพื่อส่งเสริมให้ลูกเสือและบุคลากรทางการลูกเสือ ได้เสริมสร้างจิตสำนึกความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อชุมชนอย่างต่อเนื่อง นับเป็นโครงการที่ทรงคุณค่า สอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับ“ธรรมนูญของลูกเสือโลก”ที่ระบุว่าหลักการขับเคลื่อนลูกเสือ คือ ขบวนการการศึกษาสำหรับเยาวชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นไปโดยสมัครใจ ไม่จำกัดเพศ ศาสนา และเชื้อชาติ มุ่งพัฒนาเยาวชน ให้บรรลุศักยภาพด้านร่างกาย จิตใจ ความรู้สึกทางสังคม และจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยม ในฐานะพลเมืองที่รับผิดชอบ และในฐานะสมาชิกของชุมชนในท้องถิ่นระดับประเทศ และระดับนานาชาติ แนวคิดสำคัญในการพัฒนากิจการลูกเสือไทย คือ“การบูรณาการความรู้ทางวิชาการ กับอุดมการณ์การลูกเสือ หลักการการลูกเสือ และเจตนารมณ์ของคณะลูกเสือแห่งชาติ ให้เกิดผลเชิงประจักษ์ในสังคม”พัฒนาหลักวิชาการที่สอดคล้องกับยุคสมัย ประยุกต์ใช้ได้จริง สามารถพัฒนาทักษะชีวิต ทักษะทางสังคม ทักษะวิชาชีพ สำนึกการประกอบวิชาชีพ การดำรงชีพด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็งที่ยั่งยืน และสร้างจิตวิญญาณแห่งความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดังนั้น จึงขอนำนโยบายของสภาลูกเสือไทย ให้ทุกท่านได้ยึดถือปฏิบัติ ดังนี้ 1. ขับเคลื่อนโครงการลูกเสือจิตอาสาพระราชทานเน้นให้ผู้ปกครองและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาคุณภาพสังคมไทยร่วมกัน โดยใช้กระบวนการลูกเสือ 2. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนและสนับสนุนการจัดตั้งสภาเยาวชนลูกเสือแห่งชาติ สภาเยาวชนลูกเสือจังหวัดทุกจังหวัดในอนาคต เพื่อให้เยาวชนลูกเสือมีพื้นที่แสดงความคิดเห็น ความต้องการและความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ สอดคล้องกับนโยบายการมีส่วนร่วมของเยาวชนในระดับการตัดสินใจของลูกเสือโลก ภายใต้แนวคิด“เด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ ผู้ใหญ่สนับสนุน” 3. พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมลูกเสือทุกระดับ ทุกประเภทให้ได้มาตรฐานตามวัตถุประสงค์ของคณะลูกเสือแห่งชาติ และสอดคล้องกับนโยบายหลักสูตรกิจกรรมเยาวชนลูกเสือโลก รวมทั้งกำหนดแนวทาง วิธีการจัดกิจกรรมลูกเสือให้เหมาะสมกับทุกระดับ และทุกประเภท 4. ผู้ใหญ่ในการลูกเสือต้องเป็นกำลังสำคัญในการเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาบุคลากรทางการลูกเสือ และเครือข่ายให้ได้มาตรฐานและเกิดความเข้มแข็ง ปฏิบัติงานได้ทันต่อเหตุการณ์ ด้วยการทบทวนองค์ความรู้ สร้างประสบการณ์เพิ่มเติมอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง สอดคล้องกับ “นโยบายผู้ใหญ่ในการลูกเสือ” ของลูกเสือโลก 5. ดูแลความปลอดภัยจากการคุกคามรวมถึงความปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ ในการดำเนินกิจกรรมลูกเสือ ทั้งการคุกคามทั้งจากผู้ใหญ่ และจากเยาวชนด้วยกัน ตาม “นโยบายความปลอดภัยจากการคุกคาม” ของลูกเสือโลก 6. พัฒนาและยกระดับค่ายลูกเสือและกิจการลูกเสือให้ได้มาตรฐานสากลด้วยการสำรวจตรวจสอบค่ายลูกเสือทั่วประเทศ เพื่อทำการปรับปรุง และพัฒนาค่ายลูกเสือและกิจการลูกเสือ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จังหวัดละ 1 แห่ง 7. สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพย์สินและสิทธิประโยชน์ของลูกเสือด้วยการจัดให้มีระบบบริหารจัดการที่ดี มีระเบียบรองรับการปฏิบัติงานที่เป็นธรรม โปร่งใสตรวจสอบได้ รวมไปถึงการก่อตั้ง “ร้านลูกเสือ” (Scout Shop) เป็นกิจการที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าลูกเสือ และของที่ระลึก ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ เพื่อหารายได้มาสนับสนุนการจัดกิจกรรมของลูกเสือ ดำเนินการโดยสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ด้วยอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2551 8. พัฒนาระบบ ระเบียบ วิธีการบริหารจัดการกิจการลูกเสือที่ดี มีคุณภาพ แบบมีส่วนร่วมตามหลักธรรมาภิบาลและให้เป็นไปตามธรรมนูญและนโยบายต่าง ๆ ขององค์การลูกเสือโลก “ขอให้ท่านได้ร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายด้วยความรู้ ความสามารถ จิตสาธารณะ และทำให้ กิจการลูกเสือไทย มีความทันสมัยอยู่เสมอ ตามคำกล่าวที่ว่า การลูกเสือเป็นกิจกรรมของเด็ก แต่เป็นภารกิจของผู้ใหญ่” นายอนุทิน กล่าวทิ้งท้าย...
25 มีนาคม 2567 / ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมจัดทำหลักเกณฑ์การประกวดสื่อสร้างสรรค์ Scout Newgen ปี 2 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 27 มีนาคม 2567 ณ โรงแรมเอวานา แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ โดยมีนายอำนาจ สายฉลาด ผู้อำนวยการสำนักการลูกเสือ ยุวกาชาดและกิจการนักเรียน และคณะกรรมการฯ เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสงคราม ในฐานะประธานกรรมการฯ รองศึกษาธิการจังหวัดสตูล ในฐานะรองประธานกรรมการฯ ผู้ทรงคุณวุฒิทางการลูกเสือและเทคโนโลยีสารสนเทศ จากสำนักงานศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ศูนย์เทคโนโลยีและการสื่อสาร สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 40 คน รองปลัด ศธ.กล่าวว่า พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายส่งเสริมกิจกรรมลูกเสือ ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ และสอดคล้องกับยุคสมัย ทันการณ์ และนำไปใช้งานได้จริง สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ จึงจัดทำแผนการพัฒนาลูกเสือไทย (พ.ศ. 2567 – 2570) เพื่อเป็นทิศทางของสำนักงานลูกเสือแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำแผนไปปฏิบัติ โดยมุ่งส่งเสริมให้เด็ก เยาวชนเป็นพลเมืองดี เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ “เรียนดี มีความสุข” กิจกรรมลูกเสือ ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ในการสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยให้เด็กและเยาวชนกลับมามีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสังคมและประเทศชาติ โดยผ่านวิธีการลูกเสือ (Scout Method) ซึ่งไม่ใช่การเรียนการสอนในชั้นเรียน แต่เป็นโปรแกรมการฝึกอบรมเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการและความสนใจตามช่วงวัย มุ่งพัฒนา ฝึกฝน บ่มเพาะความรู้ ทักษะเจตคติ และคุณลักษณะที่ดี ก่อเกิดเป็นสมรรถนะที่นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิต เพื่อช่วยเหลือตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม โครงการประกวดสื่อสร้างสรรค์ Scout Newgen ถือเป็นโครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านพัฒนากิจกรรมลูกเสือ (Scout Activities) โดยส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนากิจกรรมลูกเสือในทุกมิติและทุกภาคส่วนส่งเสริมกิจกรรมลูกเสือเน้นกระบวนการฝึกฝน ฝึกอบรม ไม่ใช่กระบวนการเรียนการสอน เป็นโปรแกรมการจัดกิจกรรมที่จำเป็นสำหรับเด็กและเยาวชน ให้ได้กระทำหรือฝึกด้วยการปฏิบัติจริงที่ก้าวหน้า สอดคล้องกับยุคสมัย ทันการณ์ สนุกสนาน ดึงดูดใจ เกิดความภาคภูมิใจ เหมาะสมกับช่วงวัย รวมทั้งประโยชน์อันพึงจะได้รับจากการปฏิบัติหรือนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ